ผู้เขียนได้มีโอกาสคุยกับอดีตนักมวยถึงเรื่องมวยไทยยุคใหม่ พบหน้ากัน ท่านก็บ่นให้ฟังว่า มวยยุคใหม่รูปมวยไม่สวย ไม่รักษาของเดิมเลย พูดไปพูดมาก็แวะมาถึงมวยไทยที่ไปต่อยที่ต่างประเทศ ท่านบอกว่าโอกาสจะไปชนะเขามันไม่ง่ายเลย เพราะถูกเอาเปรียบสารพัด ทั้งแบกน้ำหนัก ทั้งไม่ให้ฟันศอก ไม่ให้โน้มคอตีเข่า แต่เมื่อเป็นเรื่องของธุรกิจ เงินทองไม่เข้าใครออกใคร ก็ต้องไป มีแพ้บ้างชนะบ้างก็ว่ากันไป ยิ่งกรรมการก็ของเขา คนให้คะแนนก็ของเขา แทบจะปิดหนทางชนะ อย่างล่าสุดบัวขาวไปต่อยกับมวยจีน เตะกลิ้งไปกลิ้งมา มวยจีนยังชนะเฉยเลย

ฟังท่านพูดไป ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวัดพระธรรมกาย ว่าไปแล้วเรื่องของวัดจะหนักกว่ามวย เพราะวัดไม่ได้มีเจตนาที่จะกระโดดลงมาเล่นด้วยเลย พระเณรญาติโยม ก็สวดมนต์กันอยู่ดี ๆ ถูกลากขึ้นเวทีซะงั้น

        ลองนึกดูว่า ฝ่ายหนึ่งคือ ผู้มีอิทธิพลที่มีทั้งสื่อ ทั้งกำลังทางทหาร ตำรวจและสารพัดอยู่ในมือ อีกฝ่ายมีแต่พระเณร ผู้มาปฏิบัติธรรม หากเป็นมวยก็คงไม่มีใครกล้ารองแน่นอน

 หลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่งรับประเคนที่วัดอยู่ดี ๆ พวกก็เอาข้อหารับของโจร ฟอกเงินมาให้ (ต่อไปพระทั้งประเทศก็คงเตรียมตัวรับข้อหานี้กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา)

        พอทางวัดบอกว่าหลวงพ่ออาพาธ ขอให้มาแจ้งข้อหาที่วัด ผู้มีอำนาจก็ไม่ยอมมา บอกว่า"ไม่ได้ ไม่ถูกระเบียบ" ทั้งที่ตามกฎหมายก็ทำได้

แต่ "ไม่ทันไร ผู้มีอำนาจก็เดินไปแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาคนอื่นในคุกได้ "

อ้าว!! แล้วกัน!!!

        ทางวัดทักท้วงไปว่า ทำไมมาที่วัดไม่ได้ แต่ไปที่เรือนจำได้ พวกก็บอก มันเลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว เอ้า!! ซะงั้น!!!

พอรู้สึกว่าวัดจะรู้ทันเกินไป ก็เลยต้องหาเรื่องวัดที่มีพระวัดพระธรรมกายไปอยู่ ไล่ล่าซะทุกวัด หาว่ารุกป่าบ้าง ไปแผ้วถางป่าบ้าง ทั้งที่พระไปปลูกป่า ไปสอนชาวบ้านสวดมนต์นั่งสมาธิ 

      หนักเข้าส่งลูกน้องไปเฝ้าตามบ้านสาธุชนที่มาวัด คอยติดตามดูพฤติกรรม จะมาวัดก็ต้องให้รายงาน ทำราวกับคอยจับโจรผู้ร้าย สงสัยจังว่า งบประมาณที่คนไทยเสียภาษีไป เพื่อให้เอามาทำงานแค่เฝ้าคนแค่นี้หรือ น่าจะส่งลงไปแก้ปัญหาภาคใต้กันนะ เฝ้าไม่เฝ้าเฉย ๆ มีลูกขู่ด้วยว่าจะไปไหนต้องแจ้ง ไม่งั้นไม่ให้ไป

 อ้าว!! ตกลงนี่สาธุชนกลายเป็นผู้ถูกคุมประพฤติแล้วหรือ นี่ละเมิดสิทธิมนุษยชนชัด ๆ นะท่าน

พอสาธุชนจะมาวัดก็​ถูกสกัด ไม่ให้มาบ้าง หรือมาตรวจระหว่างทาง หาข้อหาโน่นนี่สารพัด ตกลงคนจะไปทำความดีนี่ ลำบากกันจริงหนอ นี่เรายังเป็นเมืองพุทธกันอยู่หรือ???

พอหลุดมาถึงหน้าวัด ก็ต้องเจอกับเจ้าหน้าที่มาคอยจดทะเบียนรถ พร้อมสอบถามโน่นนี่ เพื่อให้สาธุชนหวาดกลัวจะได้ไม่มาวัด ที่สำคัญนอกจากจะอ้างว่าทำตามหน้าที่แล้ว ยังมีการส่งให้สื่อมวลชนด้วย เอ!! อย่างนี้เรียกว่าอะไรเนี่ย!!!

เอ้า ยังไม่พอ เอาอำนาจที่มีอยู่ สั่งสื่อให้รุมเล่นงานอีก บางฉบับก็คิดว่าคนกินหญ้า ลงข่าวว่า ศรัทธาหดหาย แหม ก็เล่นไปถ่ายภาพที่ที่คนเขาไม่อยู่กันนี่นา เลยหน้าแตกไป เพราะมีฉบับอื่น ลงภาพคนมากันแน่นสภาธรรมกาย

ทางโซเชียลก็ไม่ธรรมดา หากมีข้อความจากทางวัด ไปแถลงข้อแท้จริง ก็ลบทิ้งบ้าง ปิดการใช้บ้าง แต่หากเป็นพวกที่ด่าวัด จะลงได้เต็มที่

ล่าสุดก็หาเหตุจะดึงเอารักษาการแทนเจ้าอาวาสเข้าสู่กระบวนการด้วย ซึ่งหากจะพูดตรง ๆ ก็ต้องการเล่นงานหลวงพ่อทัตตชีโวนั่นแหละ เพราะรู้ว่าหลวงพ่อสองรูปคือเสาหลักของวัด หากจัดการทั้งสององค์ได้ วัดพระธรรมกายก็จะอยู่ไม่ได้ แต่ปรากฏว่าผิดแผนซะนี่ เนื่องจากหลวงพ่อทัตตชีโวท่านพักรักษาสุขภาพและได้แต่งตั้งพระรูปอื่นเป็นรักษาการแทน แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงขู่มาว่า "อย่างไรหลวงพ่อทัตตชีโวก็ต้องเข้ากระบวนการ"

 โอ!! นี่มาสูตรเดียวกับหมาป่ากับลูกแกะเป๊ะเลยนะเนี่ย!!!

   ก็คงต้องดูกันต่อไปว่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ที่เล่ามาทั้งหมดเพียงแค่จะบอกว่า นักมวยที่ไปต่อยต่างประเทศเขายังมีโอกาสเลือกว่า จะสู้กับใคร ยอมรับกติกาแค่ไหน แต่วัดพระธรรมกาย ไม่มีสิทธิเลือกเลย ถูกมัดมือไพล่หลังลากขึ้นเวทีโดยไม่สมัครใจแม้สักนิด มองไปรอบข้าง มีแต่สายตาของพยัคฆ์ที่จ้องจะตะปบเหยื่อ พี่เลี้ยงก็ไม่มี กรรมการก็ของเขา คนให้คะแนนก็ของเขา กติกาก็ของเขา

 แต่ชาวธรรมกายก็ไม่หวั่นไหว เพราะเขาเชื่อมั่นในบุญ เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม และที่สำคัญเมื่อยามมีภัยเวลาตกใจ ชาวธรรมกายจะวิ่งมาวัดกันจนล้นสภาธรรมกายเพื่อมาสวดมนต์ เอาความดีชนะความชั่ว เอาเสียงสวดมนต์ให้ก้องไปทั่วทุกชั้นฟ้า เผื่อจะไปถึงใจของผู้มีอำนาจให้เกิดสัมมาทิฏฐิขึ้นมาบ้าง จะได้ร่วมกันสร้างบุญเพื่อรักษาพระพุทธศาสนาสืบไป 

สำหรับคนที่เชื่อมั่นในบุญก็คงทำได้แค่นี้แหละ

แหล่งบทความ : อนาคาริก

12/06/16