ตะคร้อ.....ผลไม้พื้นบ้าน เป็นยาดีรักษาโรค
นอกจากน้ำตะคร้อจะมีวิตามินซีและแคลเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยให้หลอดเลือด แข็งแรง ช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน ยังพบกรดอินทรีย์หลายชนิด ฯลฯ http://winne.ws/n11786
ตำรายาพื้นบ้านของตะคร้อ
- แก่น : ต้มน้ำดื่ม แก้ฝีหนอง
- เปลือก : ต้มน้ำดื่มเป็นยาสมานท้อง แก้ท้องร่วง
- น้ำมันจากเมล็ด : บำรุงผมแก้ผมร่วง
คุณประโยชน์จากตะคร้อ
- ใบและกิ่ง : ใบอ่อนกินสดหรือนำมาลวกกินเป็นผักเคียง ใบและกิ่งรวมถึงกากเมล็ดนำมาทำเป็นอาหารสัตว์
- ลำต้น : ในประเทศอินเดียใช้ต้มตะคร้อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ครั่ง
- เนื้อไม้ : นำมาทำฟีนและถ่ายได้ดี แก่นไม้ซึ่งมีความแข็งและทนทานสามารถนำมาทำเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้หลายชนิด เช่น ส่วนของด้ามจับครกบดยาด้ามขวานหรือพลั่ว และล้อเกวียน
- เปลือกไม้ : เปลือกใช้เป็นยารักษาผิวหนังอักเสบ และแผลเปื่อยได้ดี
มีงานวิจัยได้ศึกษาฤทธิ์ทางยาของส่วนเปลือกลำต้นตะคร้อโดยการทดสอบฤทธิ์ในหนูทดลอง พบว่ามีส่วนช่วยลดปริมาณน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะป้องกันและลดการอักเสบอันเนื่องมาจากแผลในกระเพาะอาหารได้ (Srinivas & Celestin, 2011)
สารสกัดจากเปลือกและลำต้นมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ (Ghosh et al., 2011) และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Pettit et al., 2000 ; Thind et al., 2010)
- น้ำต้มเปลือก : ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน (Mahaptma & Sahoo, 2008) นอกจากนี้ สารแทนนินและสีย้อมที่ได้จากเปลือกยังสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมหนังได้อีกด้วย
- เมล็ด : น้ำมันที่สกัดจากเมล็ด หรือ Kusum oil ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำมันที่ใช้ตกแต่งทรงผมและบำรุงเส้นผม อาจใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร หรือใช้ในอุตสาหกรรมผ้าบาติก
จากงานวิจัยพบว่าเมล็ดตะคร้อมีน้ำมัน ซึ่งมีชื่อเรียกทางอินเดียว่า Kusum oil หรือ Macassar oil สามารถนำไปใช้ในทางยา โดยใช้บรรเทาอาการคัน ผิวหนังอักเสบ แผลไฟไหม้ โรคเกี่ยวกับไขข้อกระดูก รวมถึงช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง (Council of Scientific & Industrial Research, 1972 ; Maharashtra State Gazetteers Department, 1953 อ้างโดย Palanuvej & Vipunngeun, 2008)
เมล็ดตะคร้อที่บดแห้งสามารถใช้ในแผลอักเสบของสัตว์พวกวัว-ควาย เพื่อกำจัดหนอนและแมลงที่ตอมแผล
- ผล : ผลตะคร้อสุกสามารถนำมากินได้ ส่วนผลดิบสามารถนำมาทำเป็นผลไม้ดอง
นอกจากน้ำตะคร้อจะมีวิตามินซีและแคลเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยให้หลอดเลือด แข็งแรง ช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน ยังพบกรดอินทรีย์หลายชนิด ได้แก่ กรดออก ซาลิก กรดทาร์ทาริก กรดฟอร์มิก กรดแล็กติก และกรดชิตริก เป็นต้น ซึ่งกรดอินทรีย์ที่พบในผลไม้เหล่านี้นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางที่ช่วยในการผลัด เซลล์ผิว
ผลสุกตะคร้อมีรสเปรี้ยวฝาด เหมาะแก่การนำมาทำเครื่องดื่มดับกระหายในหน้าร้อน รวมถึงนำมาปรุงเป็นอาหารประเภทยำ และน้ำตะคร้อสามารถนำมาใช้ทดแทนน้ำมะนาวได้ ในฤดูร้อนซึ่งมะนาวมีราคาแพง
ช่อผลสุกเปลือกสีน้ำตาล ผลสุกมีเนื้อในสีเหลือง เนื้อฉ่ำ รสเปรี้ยว
จากข้อมูลการวิเคราะห์การท้องปฏิบัติการพบว่าคุณค่าทางด้านโภชนาการของน้ำคั้นจากผลตะคร้อ 100 กรัม ประกอบด้วย
-ไขมัน 1.14 กรัม
- โปรตีน 0.93 กรัม
-ความชื้น 87.2 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 9.82 กรัม
- เส้นใย 0.16 กรัม
- วิตามินบี 1 0.748 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 0.097 มิลลิกรัม
- วิตามินอี 0.19 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 3.68 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 154.47 มิลลิกรัม
- เหล็ก 2.12 มิลลิกรัม
วิเคราะห์โดยห้องปฏิบัติการศูนย์ทดสอบและมาตรวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)