ไขความจริงให้รู้...เกี่ยวกับ ๑๗๕ คดีของวัดพระธรรมกาย
ทำไมลูกศิษย์วัดพระธรรมกายยังไปวัดกันอยู่ ขนาดวัดทำผิดกฎหมายตั้งเกือบสองร้อยคดี ยังบอกว่าวัดทำถูก หลวงพ่อธัมมชโยเป็นผู้บริสุทธิ์ http://winne.ws/n11821
มีคนถามว่า ทำไมลูกศิษย์วัดพระธรรมกายยังไปวัดกันอยู่ ขนาดวัดทำผิดกฎหมายตั้งเกือบสองร้อยคดี ยังบอกว่าวัดทำถูก หลวงพ่อธัมมชโยเป็นผู้บริสุทธิ์
ทำผิดตั้งมากมายขนาดนี้ แล้วลูกศิษย์ยังออกมาปกป้องกันอย่างไม่คิดชีวิต
อยากรู้ว่าวัดกล่อมลูกศิษย์อย่างไร จึงเชื่อกันแบบหมดใจ
ดูการศึกษาและอาชีพของแต่ละคน ก็ไม่น่าโง่หรือบ้าพอให้ถูกหลอกเลย
ที่จริงแล้ว วัดไม่ได้กล่อมอะไรเลย
เพียงแต่ความจริงที่เห็นด้วยตาตนเอง กับสิ่งที่ภาครัฐและสื่อมวลชนป่าวประกาศ มันเป็นคนละเรื่องกันเท่านั้นเอง
ในขณะที่ทางภาครัฐพยายามสื่อให้สังคมเห็นว่าทางวัดทำผิดมากมายราวกับอาชญากรระดับชาติ โดยเฉพาะเรื่องการบุกรุกซึ่งดูเป็นเรื่องใหญ่เสียเหลือเกิน
ใหญ่มากจน พล ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ถึงกับต้องสั่งการด้วยตนเอง ให้นำกองกำลังตำรวจเกือบ ๑,๐๐๐ นาย ไปล้อมวัดเพื่อยึดคืนพื้นที่ ตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ ๒๗ ธ.ค ๕๙
แต่ลูกศิษย์กลับเห็นว่า คดีเหล่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ถูกขยายให้เป็นเรื่องใหญ่โดยใช่เหตุเสียมากกว่า
แต่เหตุผลจะเป็นอย่างไร ต้องติดตามในตอนต่อไป
.
.
เนื่องจาก วัดพระธรรมกายถูกตั้งข้อหามากถึง ๑๗๕ คดี คำตอบจึงต้องยาวเป็นธรรมดา ดังนั้น จะขอตัดเป็น ๖ ตอน โดยตอนนี้เป็นตอนที่ ๑
ความจริงเกี่ยวกับ ๑๗๕ คดีของวัดพระธรรมกาย ตอนที่ ๒
@ หมวดที่ ๑ บุกรุก (สะพาน, สายไฟ, แผงเหล็ก, สแลน, ขุดถนน) ๑๖ คดี
สะพาน : ทางวัดสร้างสะพานโดยขออนุญาตแล้ว แต่สำหรับสะพานบางแห่ง ยังไม่ได้ไปจ่ายค่าธรรมเนียมกับกรมธนารักษ์
สายไฟ : ทางวัดเดินสายไฟจากพื้นที่ฝั่งประตู ๕ ข้ามคลองไปยังพื้นที่ฝั่งประตู ๖ เดินสายไฟ ๗ เส้น จึงถูกกล่าวหาไป ๗ คดี
แผงเหล็ก : ทางวัดนำแผงเหล็กขนาดประมาณ ๓ x ๖ เมตร กั้นเขตระหว่างวัดและเมืองแก้วมณี (พื้นที่ของเอกชนที่ติดกับวัด) ซึ่งทางเมืองแก้วมณีก็ยินดีให้กั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไร
สแลน : ใช้คลุมแผงเหล็กขนาดประมาณ ๓ x ๖ เมตร ที่กั้นเขต
ขุดถนน : ทางวัดขุดสระกว้างประมาณ ๓ เมตร ขนานกับถนน โดยมีบางส่วนล้ำเข้าไปในพื้นที่สาธารณะ
ซึ่งในเรื่องการบุกรุกนั้น ต้องยอมรับว่าทางวัดก็พลาดไปหลายเรื่องจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงขนาดที่ต้องนำกองกำลัง ๗ กองร้อยมาล้อมวัด เพื่อบีบบังคับให้ทางวัดจัดการรื้อแผงเหล็ก, สแลน และถมที่ให้เสร็จภายในวันเดียว
ท่านผู้อ่านลองคำนวณซิว่า การยกกองกำลังประมาณ ๑,๐๐๐ นาย มาตั้งแต่ตี ๒ จนถึง ๖ โมงเย็น ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าสวัสดิการ ค่ารถตู้ ค่ารถกระจายเสียง ค่ารถกระเช้าสำหรับเตรียมตัดไฟ ค่าน้ำมัน ค่าจ้างช่างเหล็ก ค่าจ้างรถยกและรถบรรทุก รวมทั้งหมดคงเป็นล้าน ก็แค่ค่าเบี้ยเลี้ยงอย่างเดียวก็น่าจะหลายแสนแล้ว
แล้วการทุ่มเทกำลังคนเป็นพัน งบประมาณเป็นล้านที่มาจากภาษีประชาชน เพื่อรื้อแผงเหล็กขนาด ๓ x ๖ เมตร กับถมดินไม่กี่ตารางเมตร มันคุ้มกันไหม
---> นอกจากนี้ คดีการบุกรุกยังมีความผิดปกติอีกหลายประการ ดังนี้
๑.ตำรวจสั่งรื้อแผงเหล็ก และถมดิน โดยไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรจากหน่วยงานใดๆ มาเลย ซึ่งปกติแล้วควรจะมีคำสั่งศาล หรือหนังสือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาด้วย
๒.เรื่องเดินสายไฟข้ามคลอง ทำไมไม่ทำเป็นคดีเดียว ทำไมต้องแยกเป็น ๗ คดี ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องต่างกรรมต่างวาระ แยกเพื่ออะไร? เพื่อให้ดูมีคดีเยอะๆ ใช่ไหม?
๓.ทำไมต้องแยกเรื่องแผงเหล็กกับสแลนเป็นคนละคดีด้วย ในเมื่อสแลนก็คลุมแผงเหล็กอยู่ ไม่ใช่เรื่องต่างกรรมต่างวาระ
๔.ทำไมจึงไม่รอให้ได้หมายค้นก่อนแล้วจึงยกกองกำลังเข้าไป การเข้าไปทั้งที่ไม่มีหมายค้น ตำรวจจึงเข้าไปภายในวัดไม่ได้ อยู่ได้แค่รอบๆ วัด แล้วก็ให้ข่าวในตอนเย็นว่าไปเพื่อขอคืนพื้นที่ แค่ไปรื้อแผงเหล็กและถมดิน มันไม่น่าจะคุ้มค่ากับงบประมาณแผ่นดินที่เสียไปเลยนะ หรือทางตำรวจจะคิดว่าคุ้มค่าในการสนองเป้าหมายอื่นกันแน่
๕.ทำไมตำรวจต้องเลือกไปขอคืนพื้นที่จากวัดในวันที่ ๒๗ ธ.ค. ๕๙ วันที่มีการเสนอเรื่องแก้ไข พรบ.สงฆ์มาตรา ๗ เข้าไปที่ประชุมของ สนช. และตำรวจก็เข้าไปวัดแบบจัดหนักด้วย ยกกองกำลังไปเป็นพัน ทำให้เป็นข่าวใหญ่กลบเรื่องแก้ไข พรบ.สงฆ์ เสียเงียบสนิทเลย
๖.ตำรวจสั่งให้ทางวัดถมที่ซึ่งขุดสระเอาไว้ ให้เสร็จภายในวันนั้น โดยบอกว่าถ้าทำไม่เสร็จจะไม่ยกกองกำลังกลับ ก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องรีบขนาดนั้น เพราะปกติแล้ว ถนนสายนั้นก็ไม่มีใครสัญจร เนื่องจากเป็นถนนดินที่มีหลุมมีบ่อเยอะมาก คนจึงหันไปใช้ถนนลาดยางที่อยู่คู่ขนานกัน ซึ่งห่างกันแค่คลองคั่นไม่กี่เมตร (ถนนเส้นนี้ทางวัดพระธรรมกายเป็นผู้ปรับปรุงให้ใหม่จากถนนดินกลายเป็นถนนลาดยาง) ทำเหมือนจะตรึงให้นักข่าวต้องเสนอข่าววัดพระธรรมกายทั้งวัน ไม่มีเวลาเสนอข่าวอื่น
.
ตำรวจสนธิกำลัง7กองร้อยที่สภ.อ.คลองหลวง ปทุมธานีวันที่ 27 ธ.ค 59
ความจริงเกี่ยวกับ ๑๗๕ คดีของวัดพระธรรมกาย ตอนที่ ๓
@ หมวดที่ ๒ บุกรุก แผ้วถางป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ๔ คดี
ขอยืนยันว่าพื้นที่ของวัดพระธรรมกายไม่ได้อยู่ในป่าสงวนแน่นอน และไม่มีการแผ้วถางป่าด้วย เพราะที่ดินไม่ได้อยู่ในป่า จะไปถางป่าได้อย่างไร ดูจากภาพประกอบจะชัดมาก ว่าที่ดินวัดไม่ได้อยู่ติดป่าสงวน
จึงเป็นที่น่าแปลกใจว่า ทั้งๆ ที่มีที่ดินคนอื่นคั่นอยู่ แต่ทำไมคนอื่นถึงไม่โดนข้อหาบุกรุก หรือว่าป่าสงวนมันกระจายเป็นหย่อมๆ แล้วหย่อมนั้นบังเอิญตรงกับที่ของวัดพอดี
ขอถามหน่อยเถอะว่า คดีรุกป่านี่ต้องถูกออกหมายจับเลยเชียวหรือ ?
แล้วทำไมเจ้าของโรงแรมคีรีมายา ที่เคยมีคดีรุกที่เขาใหญ่ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ ที่สร้างบ้านอยู่บนเขายายเที่ยง จึงไม่ถูกหมายจับล่ะ เพราะก็เป็นเรื่องการรุกที่ป่าสงวนเหมือนกัน
.
.
@ หมวดที่ ๓ พ.ร.บ.ขนส่งทางบก ๒๐ คดี
คดีหมวดนี้มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เพราะเป็นเรื่องของรถตู้ที่ญาติโยมเช่ามาล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับวัดเลยสักนิด โดยคดีเกิดจากการที่สาธุชนเช่ารถประจำทางสายอื่นมา แต่เจ้าของรถไม่ไปแจ้งกับขนส่งว่าจะวิ่งนอกเส้นทาง บางคดีก็เป็นรถตู้ส่วนบุคคลแต่กลับมาวิ่งเป็นรถเช่า
ที่จริงเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นคดีเลย แค่ออกใบสั่งและเสียค่าปรับไปก็จบแล้ว
ถ้าตำรวจจะทำเรื่องพวกนี้ให้เป็นคดีนะ คงไม่มีเวลาทำอย่างอื่น เพราะแค่ไล่จับรถตู้ก็ได้วันหนึ่งเป็นพันคดีแล้ว
เรื่องนี้มันเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายตรงไหน? ถึงต้องเอามานับรวม หรือกลัวตัวเลขคดีมันน้อยไป
ความจริงเกี่ยวกับ ๑๗๕ คดีของวัดพระธรรมกาย ตอนที่ ๔
@ หมวดที่ ๔ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ๑๒๗ คดี
ในหมวดนี้ ต้องยอมรับว่าทางวัดก็พลาดไป ที่ไม่ขออนุญาตกับ อบต. เรื่องการก่อสร้างอาคารให้เรียบร้อย ซึ่งทางวัดก็ให้เหตุผลว่า พรบ.ควบคุมอาคาร มีข้อยกเว้นว่า วัดไม่จำเป็นต้องขออนุญาต จึงไม่ได้ยื่นขออนุญาตกับ อบต.
ในเรื่องที่วัดพระธรรมกายโดนคดีอาญา เพราะไม่ได้ยื่นขออนุญาตสร้างอาคารกับ อบต. ถือเป็นเรื่องพิเศษสุดๆ
เพราะตามปกติ ถ้า อบต. พบว่าใครไม่ขออนุญาตสร้างอาคาร ก็จะทำหนังสือเตือนให้มาขออนุญาตภายใน ๓๐ วัน ถ้าครบ ๓๐ วันแล้วไม่ขออนุญาต ค่อยส่งฟ้อง เพื่อให้ศาลออกคำสั่งให้ไปขออนุญาต ไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นคดีอาญาทันทีเหมือนที่วัดพระธรรมกายโดนอยู่
เพราะจุดประสงค์ของ พรบ.ควบคุมอาคาร มีไว้เพื่อควบคุมความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง ไม่ใช่กฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจับกุมหรือคุมขังผู้ต้องหาเหมือนการก่ออาชญากรรม
ถ้าอาคารมีการก่อสร้างที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย ทาง อบต.ก็จะอนุญาตให้ทันที
หากคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย อาคารของวัดพระธรรมกายไม่น่าเป็นห่วงเลย เพราะแต่ละหลังก่อสร้างโดยมีวิศวกรควบคุม อาคารขนาดใหญ่ก็ก่อสร้างโดยผู้รับเหมาซึ่งมีมาตรฐานสูง เช่น คริสเตียนี่, ไทยโอบายาชิ, พรีบิลท์, ฤทธา ฯลฯ
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ทั้ง ๑๒๗ คดีในหมวดนี้ ไม่ควรเป็นคดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ถ้าทำตามปกติ ก็แค่บอกให้วัดไปขออนุญาตจาก อบต. ภายใน ๓๐ วัน เรื่องก็จบแล้ว
แต่ทำไมตำรวจจึงต้องไปตั้งเป็นคดีอาญาให้ยุ่งยากด้วย ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของตำรวจเลย ทำให้คนที่รู้กฎระเบียบมองว่า มีการกลั่นแกล้งวัดพระธรรมกาย
ซึ่งจะกลั่นแกล้งจริงหรือเปล่านั้น ก็ไม่ทราบ แต่ทราบว่ามีเรื่องผิดปกติเกี่ยวกับคดีในหมวดนี้อยู่
ทราบมาว่า มีการนำภาพถ่ายทางอากาศของวัดพระธรรมกายที่ถ่ายไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ มากางแล้วก็ชี้ไปที่ทุกอาคารในภาพ บอกให้ตั้งเป็นคดีให้หมด
คนที่รับคำสั่งก็แย้งว่าทำไม่ได้ แต่คนสั่งบอกว่า ทำได้ เพราะเมืองไทยใช้ระบบกล่าวหา ผิดหรือไม่ผิดก็สามารถตั้งคดีได้ทั้งนั้น
แล้วก็มีคำสั่งว่า ต้องรีบทำให้เสร็จภายในวันนั้นเลย สั่งตอน ๖ โมงเย็น กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน เรียกว่าทำลายสถิติเลย ทำได้เกิน ๑๐๐ คดี ในเวลาเพียง ๖ ชั่วโมง (น่าจะให้กินเนสส์บุคส์บันทึกเป็นสถิติโลกเนอะ)
พอต้องรีบทำ ก็เลยไม่มีเวลาไปดูสถานที่จริง ไม่รู้อาคารไหนยังอยู่หรือไม่อยู่ จึงตั้งคดีหมดทุกอาคารที่มีในรูป
บางอาคารก็รื้อถอนไปแล้ว พอเจ้าหน้าที่จะไปติดป้ายก็หาอาคารไม่เจอ ทำคดีไปแล้วด้วย ไม่ติดป้ายก็ไม่ได้
พอส่งเรื่องมาถึงทางวัด วัดก็ไม่รู้จะไปขออนุญาตยังไง เพราะอาคารถูกรื้อไปหมดแล้ว ทำให้สับสนอลหม่านกันไปหมด
แถมแจ้งความแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเลย อย่างโบสถ์สร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๐ ก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าสร้างโดยไม่ขออนุญาตจาก อบต.
ขอถามหน่อยเถอะ ตอนนั้นมี อบต.ให้ขออนุญาตแล้วเหรอ อบต.ตั้งขึ้นประมาณปี ๒๕๓๗ นะ
จะให้นั่งไทม์แมชชีนไปขออนุญาตรึไง เฮ้อ!
ความจริงเกี่ยวกับ ๑๗๕ คดีของวัดพระธรรมกาย ตอนที่ ๕
@ หมวดที่ ๕ ใช้น้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ๑ คดี
เรื่องนี้ทางวัดพลาดเอง ปล่อยให้ใบอนุญาตหมดอายุ แล้วไม่ไปต่อ
แต่ถ้ามองแบบไม่อคติ ก็ถือว่าไม่ใช่ความผิดร้ายแรง
ก็ให้ทางวัดไปต่อใบอนุญาตและเสียค่าปรับก็จบเรื่อง
.
.
@ หมวดที่ ๖ กีดขวางการจราจร (เสาเข็ม) ๓ คดี
ไม่ทราบว่าใครเอาเสาเข็ม ๓ ต้น ไปวางขวางถนนไว้ วัดก็เลยโดนไปอีก ๓ คดี ต้นละ ๑ คดี
ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องต่างกรรมต่างวาระ แต่ก็แยกเป็นต้นละคดีอีกแล้ว และไม่มีพยานหลักฐานด้วยว่าทางวัดเป็นผู้สั่งให้วาง
เรื่องนี้ไม่มีเหตุจูงใจให้ทางวัดทำเลย เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ ทางวัดย่อมต้องการให้ลูกศิษย์เข้าวัดมากที่สุดเร็วที่สุดอยู่แล้ว และถนนนั้นก็เป็นเส้นทางที่สาธุชนใช้เดินทางเข้าวัดเช่นกัน
.
.
@ หมวดที่ ๗ ขัดขวางเจ้าพนักงาน (ตะปูเรือใบ, ขับรถขวาง) ๒ คดี
รถของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดนตะปูเรือใบบนถนนสาธารณะใกล้วัด โดยที่ไม่มีพยานหลักฐานว่าทางวัดเป็นผู้กระทำ แต่วัดก็ได้ข้อหาว่าเป็นผู้วางตะปูเรือใบมาอีก ๑ คดี
ถ้าวางตะปูเรือใบไว้ รถญาติโยมน่าจะโดนก่อน ทั้งที่มีรถวิ่งเข้าวัดนับพันคัน แต่ไม่มีคันไหนโดนตะปูเลยสักคัน
ส่วนเรื่องขับรถขวางตำรวจ ที่จริงน่าจะดำเนินคดีกับคนขับหรือเจ้าของรถนะ ไม่น่าจะมาเอาผิดกับวัดเลย
.
.
@ หมวดที่ ๘ หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ๑ คดี
เรื่องนี้เป็นการฟ้อง คุณองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษย์ฯ ซึ่งจะผิดจริงหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ เพราะนี่เป็นระบบกล่าวหา
แต่น่าแปลกมากที่ไม่มีหมายเรียกมาถึงคุณองอาจ มีแต่หมายจับ และได้ข่าววงในมาว่า ถ้าคุณองอาจไปมอบตัว ก็จะไม่ให้ประกันตัว
ผิดปกติแบบนี้ใครจะไปมอบตัว ก็แค่คดีหมิ่นประมาท ทำไมต้องออกหมายจับทันที
แล้วถ้ายอมถูกจับไป จะติดเชื้อในกระแสเลือดเหมือนหมอหยอง หรือตับแตกตายในคุกเหมือนคุณธวัชชัยหรือเปล่าก็ไม่รู้
ความจริงเกี่ยวกับ ๑๗๕ คดีของวัดพระธรรมกาย ตอนที่ ๖
@ หมวดที่ ๙ เอาไปเสียซึ่งทรัพย์ที่พนักงานยึดไว้ (ตู้คอนเทนเนอร์) ๑ คดี
ตู้คอนเทนเนอร์นี้วางอยู่ภายในวัด ใกล้สะพานที่ทางวัดสร้างไว้ในพื้นที่ของวัดเอง เพื่อระบายรถออกนอกพื้นที่ โดยไม่ต้องผ่านถนนคลองหลวงช่วงที่การจราจรหนาแน่น ทำให้ลดปัญหาการจราจรติดขัดรอบวัด
ทางตำรวจบอกว่า การที่วัดสร้างสะพานข้ามถนนและคลอง ต้องเปิดพื้นที่สะพานให้สาธารณชนใช้ด้วย แต่การนำตู้คอนเทนเนอร์ไปวางใกล้สะพาน ทำให้ขวางทางขึ้นลงสะพาน ทำไม่ได้
พอทางวัดทราบเรื่อง ก็เลยเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ออกไป โดยย้ายออกไปก่อนถูกแจ้งข้อกล่าวหาเสียอีก
เมื่อตำรวจเดินทางมาแจ้งข้อกล่าวหา คอนเทนเนอร์ได้ถูกย้ายออกไปแล้ว ทางวัดจึงถูกกล่าวหาว่า “เอาไปเสียซึ่งทรัพย์ที่พนักงานยึดไว้” อีก ๑ คดี
แหม! ถ้ารู้ว่ายังไงก็โดนคดี คงไม่ต้องย้ายให้เปลืองแรงนะ
.
.
.
ขอตั้งข้อสังเกตว่า ตำรวจทำเหมือนเอาแว่นขยายมาส่อง ว่าวัดพระธรรมกายมีข้อผิดพลาดตรงไหนบ้าง ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ก็จะทำเป็นคดีให้จงได้ เรื่องที่ควรจะผ่อนผันได้ ก็ทำเป็นผ่อนผันไม่ได้ซะอย่างนั้น
เหตุใดจึงต้องยัดเยียดข้อกล่าวหาโดยไม่จำเป็นแก่วัดพระธรรมกายมากมายเกือบสองร้อยคดี
ทั้งที่ ๑๗๕ คดีดังกล่าวนี้ ถ้าทำกันตามธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไป ก็คงเหลือแค่ไม่กี่คดีเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่คดีร้ายแรง ทำไมตำรวจจึงต้องยกกำลังนับพันมาล้อมจับดังเช่นการจับอาชญากรระดับโลก
ทำไมต้องทำให้วัดพระธรรมกายเสื่อมเสียชื่อเสียง โดนดูถูกเกลียดชังด้วย
การกระทำเยี่ยงนี้มีผลให้ ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายคลางแคลงใจกับท่าทีการปฏิบัติของตำรวจและหน่วยงานภาครัฐเป็นอย่างยิ่ง
ว่าท่านใช้มาตรฐานใดในการดำเนินการกับวัดพระธรรมกาย
และสงสัยว่าท่านมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงหรือไม่
รวมทั้งส่งผลให้ไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมไปด้วย (เพราะตำรวจก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม)
หากทางภาครัฐมีความจริงใจในการดำเนินการอย่างยุติธรรม ก็ควรจะปรับท่าทีในการปฏิบัติต่อวัดพระธรรมกายอย่างเป็นมิตรและเป็นธรรมให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ท้ายนี้ ขอฝากข้อคิดสำหรับวัดทุกแห่ง และพุทธศาสนิกชนทุกท่านว่า หากวัดใหญ่อย่างวัดพระธรรมกายถูกกล่าวหาด้วยเรื่องทำนองนี้ได้ วัดอื่นๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาได้เช่นกัน
เรื่องนี้ไม่ใช่ภัยที่ไกลตัวท่านอีกต่อไป แต่มันอยู่แค่ปากประตูวัดของท่านเท่านั้นเอง
CR.ชุลีพร ช่วงรังษี