รู้กฎหมายกับคนสองยุค! ตอนที่5 วัดพระธรรมกายไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเองหรือใครบังคับ ?
มาตรา 134 ข้างต้น เพียงท่านเดินเข้าวัดมาเมื่อพบ “ผู้ถูกกล่าวหา” อยู่เบื้องหน้า ท่านก็แจ้งข้อกล่าวหาได้ตามกฎหมายแล้วครับ ทำไมต้องบังคับให้ท่านไปรับทราบข้อกล่าวหานอกวัด ทั้งที่มีหนังสือรับรองแพทย์ว่าป่วย ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ถูกกล่าวหา http://winne.ws/n12272
วันเสาร์ ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560
วัดพระธรรมกายไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเองหรือใครบังคับ ?
ก่อนที่จะวิเคราะห์เรื่อง วัดพระธรรมกายไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจริงหรือ โดยอาศัยคดีศึกษาต้นแบบจากการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐในยุคปัจจุบันกับวัดพระธรรมกายต่อไป
ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามการนำเสนออย่างต่อเนื่องและขอชี้แจงวัตถุประสงค์ของการเขียนบทความคดีศึกษาครั้งนี้ว่า “ไม่ได้มีเจตนาจะชี้ว่าใครผิดหรือใครถูก” แต่ประการใด เพราะอำนาจดังกล่าวเป็นของศาลยุติธรรมซึ่งพิจารณาตามตัวบทกฎหมายเท่านั้น
การเขียนบทความนี้เขียนจากข้อกฎหมาย,ระเบียบ,ข้อบังคับ,กฎ ต่าง ๆ ที่รัฐประกาศใช้กับประชาชนทั่วไปภายใต้หลักกฎหมายที่ว่า
“ความไม่รู้กฎหมายจะอ้างเป็นข้อแก้ตัวไม่ได้” ของประเทศไทยเป็นหลัก ประกอบข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงกับวัดพระธรรมกาย
ต้องการแสดงให้ผู้มีอำนาจรัฐได้รู้ว่า “คนไทยรักสงบ” ที่อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายปัจจุบันนี้มีความรู้สึกอย่างไร ต่อผู้บังคับใช้กฎหมายในปัจจุบัน จึงอยากจะขอความร่วมมือจากผู้ที่อ่านบทความเหล่านี้ช่วยเผยแผ่ บทความไปยังคนไทยทั้งประเทศที่คิดว่า “ถ้าไม่ผิด ทำไมไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” และอาจถูกการกระทำเช่นเดียวกับกรณีศึกษานี้ด้วย
การเผยแผ่ความเห็นนี้ไม่มีขอบเขตจำกัด สามารถส่งให้ทุกคนที่ท่านรู้จักได้เลย ยิ่งเป็นฝ่ายที่กล่าวหาวัด, หรือเจ้าหน้าที่ที่คิดจะดำเนินการทางกฎหมายกับวัดพระธรรมกาย ยิ่งดี เพราะเจตนาของเราคือ พิสูจน์ความจริงให้ปรากฏว่า “ใครผิด ใครถูก” ตามนโยบายของรัฐ ไม่มุ่งหวังใส่ร้ายใครตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธเรื่อง “อนูปวาโท” ครับ
# วัดพระธรรมกายไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจริงหรือ ?
เท่าที่ผมรู้มาและได้รับคำยืนยันจากผู้บริหารวัดและศรัทธาสาธุชนของวัดพระธรรมกายทุกคนว่า “ทุกท่าน ต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่ได้รับการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาอย่างเสมอภาคตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ 100 % “ ครับ
แต่เมื่อดูพฤติกรรมอันเป็นเครื่องชี้เจตนาของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติในเวลานี้แล้ว เห็นควรใช้หลักปฏิบัติตามแนวคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ว่า “ไม่สู้ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป” เพื่อพิสูจน์ข้อแท้จริงให้ประจักษ์ และผู้ใช้อำนาจรัฐปฏิบัติตามกฎหมายที่ตนกำหนดไว้ โดยเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ก่อน เมื่อผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้รักษากฎหมาย ยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎหมายที่ท่านกำหนดไว้ วัดพระธรรมกายก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการ ไม่ต้องมีข้อถกเถียงกันต่อไป เป็นหลัก “ธรรมาภิบาลในการปกครองประเทศ” นะครับ
สิ่งที่ได้ทราบว่าทำไมวัดพระธรรมกายกระทำในสิ่งที่ถูกกล่าวหาว่า ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมีดังนี้ครับ
1. การเริ่มต้นการกล่าวหาด้วยคดีอาญาคือรับของโจร เป็นสิ่งที่โต้แย้งกันว่าคดีนี้อัยการสั่งไม่ฟ้องไปแล้วทำไม ดีเอสไอ. จึงกลับมาฟ้องอีก ดีเอสไอ.ต้องชี้แจงให้ได้ ถ้าเป็นเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมายวัดพระธรรมกายก็ยินดีรับทราบข้อกล่าวหา
2. ผมขอเสริมข้อเขียนขอท่านผู้รู้ที่ว่าการแจ้งข้อหาไม่จำเป็นจะต้องแจ้งที่โรงพัก เพราะการแจ้งข้อกล่าวหา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 กำหนดว่า.... หรือปรากฏว่าผู้ใดซึ่งมาอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ต้องหา เมื่อ ดีเอสไอ.ได้รับหนังสือรับรองแพทย์แล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหา ไม่สะดวกทีจะเดินทางไกล ๆ เพราะป่วย ทำไม ดีเอสไอ. ไม่ปฏิบัติตาม กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ข้างต้น เพียงท่านเดินเข้าวัดมาเมื่อพบ “ผู้ถูกกล่าวหา” อยู่เบื้องหน้า ท่านก็แจ้งข้อกล่าวหาได้ตามกฎหมายแล้วครับ ทำไมต้องบังคับให้ท่านไปรับทราบข้อกล่าวหานอกวัด ทั้งที่มีหนังสือรับรองแพทย์ว่าป่วย ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ถูกกล่าวหา
3. ดีเอสไอ.ไม่ยอมเข้าแจ้งข้อกล่าวหาทั้งที่ไม่มีใครขัดขวาง แล้วไปอ้างต่อศาลว่าผู้ถูกกล่าวหา ขัดหมายเรียก เพื่อออกหมายจับและหมายค้น ล้วนเป็นกระบวนการที่ ดีเอสไอ.สร้างขึ้น เพื่อให้รูปคดีเดินไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง ซึ่งเป็นวิธีการถนัดของผู้มีอำนาจหลาย ๆ คนชอบทำกัน
4. เมื่อทางวัดประกาศว่า “ผู้ถูกกล่าวหา”จะเข้ามอบตัวสู้คดี ทำไม ดีเอสไอ.ต้องประกาศว่า ”หาก ผู้ถูกกล่าวหา มามอบตัวแล้วจะไม่ให้ประกันตัว” ทั้งที่แม้แต่คดีร้ายแรงเช่น คดีกบฏ,คดีฆ่าคนตาย ซึ่งมีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต เมื่อผู้ต้องหามอบตัวยังได้รับการประกันตัวเดินกันให้เต็มถนนอยู่ในปัจจุบัน
กรณีนี้ส่วนตัวผมเห็นว่า ดีเอสไอ.หลงกลคือ ตกใจกลัวว่า หาก “ผู้ถูกกล่าวหา” เข้ามอบตัวจริง ต้องพิจารณาเรื่องประกันตัว เลยเผลอเปิดให้เห็นเป้าหมายของการแจ้งข้อหาต่อ ผู้ถูกกล่าวหา ที่แท้จริงว่า มุ่งหวังจับผู้ถูกกล่าวหา ทำการสละสมณเพศเท่านั้น เพราะพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา ๒๙ ระบุว่า “พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา
#เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม
# หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม
# หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง
#ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้
# สรุปกฎหมายในมาตรานี้ คือ “พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาเมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่ให้ประกันตัว
#ให้เจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดรับมอบตัวไว้ควบคุม ในระหว่างดำเนินคดีเพื่อไม่ต้องสละสมณเพศ” เว้นแต่
1. เจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัด “ไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม”
2. เจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัด “ยินดีรับมอบตัวไว้ควบคุม “ แต่พนักงานสอบสวน(ในกรณีนี้คือ ดีเอสไอ.)ไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ อ่านแล้วไม่ต้องสงสัยครับว่า ที่ ดีเอสไอ.แกล้งสร้างเหตุมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งออกหมายจับและหมายค้น เพราะถ้าจับตัว “ผู้ถูกกล่าวหา” ได้เมื่อไหร่ ดีเอสไอ.จัดให้สึกได้ทันที #แม้ว่าเจ้าอาวาสจะรับพระรูปนั้นไว้ควบคุมเพื่อไม่ต้องสละสมณเพศแต่ ดีเอสไอ.ไม่เห็นด้วย ส่วนคดีรับของโจรและฟอกเงินที่กล่าวหานั้น นักกฎหมายทุกท่านพิจารณาจากปฏิกิริยาของอัยการแล้วเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีน้ำหนัก ใช้เป็นเพียงข้ออ้างในการออกหมายจับเท่านั้น
# เพราะถ้ามีน้ำหนักจริง อัยการควรสั่งฟ้องไปนานแล้วครับ
# หลักการพิจารณาไม่ให้ประกันตัวต้องมีเหตุตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ที่กำหนดว่า การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี
# การประกาศไม่ให้ประกันตัว “ผู้ถูกกล่าวหา” ทั้งๆที่จะเข้ามอบตัว จึงเป็นการบังคับไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ของ ดีเอสไอ.นั่นเอง
ข้อสังเกต การที่ ดีเอสไอ.ประกาศว่าไม่ให้ประกันตัวผู้ถูกกล่าวหา เป็นความผิดฐานใดหรือไม่?
กฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2557) เขียนดังนี้
มาตรา ๔ ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้
ขอให้ทุกท่านช่วยพิจารณาว่า ในกรณีวัดพระธรรมกายนี้ วัดได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามที่เขียนกันขึ้นมาเองในมาตรา 4 หรือไม่ กรณีนี้ผมให้ความเห็นว่า ดีเอสไอ.มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผู้ใด(ดีเอสไอ.) เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (ขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ) เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด (ผู้ถูกกล่าวหา) ...โดยทุจริต (สร้างข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
และสมมุติว่าเรามีญาติพี่น้องที่บังเอิญกระทำความผิดโดยไม่รู้และต้องการเข้ามอบตัวสู้คดี แต่เจ้าหน้าที่บอกก่อนเลยว่ามอบตัวก็ไม่ให้ประกันเหมือนคนทั่วไปท่านจะคิดยังไง ขอให้ได้พิจารณาและนำเสนอต่อประชาชนไทยโดยทั่วไปให้รับรู้โดยทั่วกันด้วยครับ
บทสรุปของข้อความในตอนนี้มีอยู่ว่า
“วัดพระธรรมกายไม่ได้ปฏิเสธที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามที่กล่าวหาดีเอสไอ.ต่างหากที่ใช้อำนาจบังคับไม่ให้วัดพระธรรมกายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม"
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม แล้วพบกันใหม่ครับ
cr.ท.รักความยุติธรรม คนสองยุค