พี่มาแรง!!!ทรัมป์ประเดิม 2 คำสั่งยกเลิกนโยบายโอบามา "โอบามาแคร์และTPP"

ทรัมป์ยกเลิกนโยบายของบารัค โอบามา ในทันทีที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยคำสั่งแรกเป็นการยกเลิกโอบามาแคร์ รวมทั้งการถอนตัวออกจากTrans-Pacific Partnership ที่โอบามาเคยเป็นแกนนำจัดตั้งร่วมกับอีก 11 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก http://winne.ws/n12536

1.4 พัน ผู้เข้าชม
พี่มาแรง!!!ทรัมป์ประเดิม 2 คำสั่งยกเลิกนโยบายโอบามา "โอบามาแคร์และTPP"http://vi.rfi.fr/quoc-te/20170121-quyet-dinh-dau-tien-cua-tan-tt-my-danh-obamacare-va-bo-tpp

"พร้อมกับขู่ซ้ำแคนาดาและเม็กซิโกจะเจอกับมาตรการที่แข็งกร้าวหากไม่ยินยอมเจรจาสัญญาการค้าฉบับใหม่ที่เป็นธรรมในสนธิสัญญา NAFTA และแน่นอนว่าการเพิ่มความตึงเครียดในสถานการณ์ดังกล่าว ย่อมส่งผลต่อความไม่แน่นอนของโลกมีอีกวาระหนึ่งนับจากนี้ไป

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเตรียมแผนงานที่ทำให้จีดีพีสหรัฐเติบโตถึงปีละ 4% และยังสามารถสร้างงานใหม่ อีก 25 ล้านคน เป็นการเกทับนโยบายของโอบามาที่สร้างงานใหม่ได้ 15 ล้านคนในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา 

ขณะที่ Credit Suisse ของสวิตเซอร์แลนด์ เตือนอันตรายบอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่งทะลุ 3.5% ในปีนี้ ระบุทุกๆ 1% ที่เพิ่มขึ้นกระทบต่อรายได้ของธุรกิจและส่งผลต่อจีดีพีสหรัฐตกต่ำลง 0.2%

1.ท่ามกลางบรรยากาศการชุมนุมประท้วงสิทธิสตรีภายใต้ Womens March ที่มีต่อโดนัลด์ ทรัมป์ ของคนอเมริกันครึ่งล้านคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีนั้น และประชาชนในอีก 670 เมืองใน 70 ประเทศแต่ทันทีที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐก็ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Orders) เป็นการ Reverse หรือพลิกเหรียญกลับด้านต่อนโยบายของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ถึง 2 ฉบับ ฉบับแรกยกเลิกการบังคับใช้ข้อกำหนดของกฏหมายโอบามาแคร์ ซึ่งสร้างภาระทางการเงินจำนวนมหาศาลให้กับรัฐบาล ตามที่ได้ให้สัญญาไว้ในตอนที่หาเสียง และทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นขณะเดียวกันทรัมป์เดินหน้าเกี่ยวกับการออกกฎหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ Affordable Care Act ที่สร้างภาระในระดับที่รับมือได้สำหรับภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยคงข้อกำหนดที่ให้คนอเมริกันต้องถือประกันสุขภาพมิเช่นนั้นจะมีโทษ หรือข้อกำหนดว่า นายจ้างต้องเสนอความคุ้มครอง แต่อาจจะลดผลประโยชน์เช่นในบริการดูแลมารดา และบริการสุขภาพจิต

2.สำหรับคำสั่ง Executive Order ฉบับที่สอง ทรัมป์ยกเลิกข้อตกลงว่าด้วยหุ้นส่วนทางการค้าแปซิฟิก หรือ TPP ซึ่งเป็นเขตการค้าใหญ่ที่สุดที่โอบามาเป็นตัวตั้งตัวตีเซ็นต์สัญญารวมกัน 12 ประเทศ ทำให้สหรัฐต้องถอนตัวจาก TPP โดยทรัมป์ย้ำว่า สนธิสัญญาการค้าใดๆ ต่อจากจากนี้จะต้องถูกกำหนดขึ้นเพื่อความเป็นธรรมกับสหรัฐ หากประเทศใดไม่ดำเนินการตามหลักการที่ว่าจะต้องได้รับมาตรการที่แข็งกร้าวจากสหรัฐ โดยมีการขู่ซ้ำต่อแคนาดาและเม็กซิโกให้เร่งดำเนินการเจรจาสนธิสัญญา NAFTA ฉบับใหม่ซึ่งก่อนหน้านั้นเพียง 1 สัปดาห์ทรัมป์ก็ได้ประกาศเป็นเชิงสงครามการค้ากับเยอรมันกรณีการนำเข้ารถ BMW ที่ผลิตในเม็กซิโกและนำเข้ามาในสหรัฐอาจถูกขึ้นภาษีศุลกากรถึง 35% รวมถึงจีนที่ทรัมป์ได้ประกาศทำสงครามการค้าและสงครามการเงินกับจีนนับตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้งจนถึงล่าสุด โดยที่ทรัมป์ยังคงกล่าวหาจีนตลอดมาในเรื่องการปั่นเงินหยวนอ่อนค่าเพื่อรักษาความได้เปรียบทางการค้า ที่ทำให้สหรัฐต้องขาดดุลทางการถ้าปีละมากกว่า 3.66 แสนล้านดอลลาร์

3.นอกจากนี้มีรายงานล่าสุดว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันถือโอกาสช่วงที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการผลักดันกฎหมายยกเลิกการคุ้มครองสัตว์หายากที่รวมถึงนกอินทรีหัวล้านที่เป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกา โดยผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ทั้งนี้มีผู้วิจารณ์ว่าการผ่านกฎหมายดังกล่าวอาจเป็นเพื่อประโยชน์กับอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันของสหรัฐอีกด้วย

4.นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐครั้งล่าสุดนับตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งทำให้คนอเมริกันต้องตกงานกว่า 300,000 คนในภาคอุตสาหกรรม ทรัมป์ได้ประกาศว่าจะกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับสหรัฐ และคืนความมั่งคั่งให้กับคนอเมริกันนั้น เขาเตรียมแผนการณ์สร้างงานใหม่อีก 25 ล้านคนในช่วง 10 ปีข้างหน้า และทำให้จีดีพีเติบโตได้ปีละ 4%อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทรัมป์จะประกาศจะกระตุ้นเศรษฐกิจมาจากแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นพฐาน 1 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมๆกับมาตรการลดภาษีที่ทำให้รัฐสูญเสียภาษี 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ ตลาดกลับคาดว่าภาระหนี้ที่รัฐบาลภายใต้ทรัมป์อาจจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 5-11.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ขณะที่ภาระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐจนถึงยุคของโอบามาอยู่ที่ 20 ล้านล้านดอลลาร์ จะทำให้หนี้สาธารณะของภาครัฐบาลสูงถึง 104% ของจีดีพี

5.Credit Suisse ออกบทวิเคราะห์ชี้ว่า ปี 2017 จะเป็นปีที่เป็นความท้าทายเชิงสัญลักษณ์ เพราะสัญญาณขายในตลาดการเงินทั่วโลกหลังจากพิธีสาบานตนของโดนัลด์ผ่านไป Credit Suisse ชี้ว่า ดัชนีราคาหุ้น S&P 500 อาจขึ้นไปแตะที่ระดับสูงถึง 2,500 ก่อนดิ่งลงที่ 2,000 แต่การคาดการณ์ในระดับปานกลางจะขึ้นไปที่ระดับ 2,350 ช่วงกลางปีนี้ก่อนลงมาที่ 2,300 เงินยูโรอาจร่วงลงแตะ 0.90 ดอลลาร์ก่อนที่จะแข็งค่าที่ 1.20 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี ส่วนการคาดการณ์ระดับปานกลางนั้นเงินยูโรจะอ่อนค่าลงที่ 1.03 ดอลลาร์ในช่วง 3 เดือน และอ่อนลงอีกที่ 1.0 ดอลลาร์ในอีก 6 เดือนส่วนจีดีพีของจีนจะเติบโตที่ 5% และเงินหยวนอยู่ที่ 8.0 หยวนต่อดอลลาร์ ส่วนระดับคาดการณ์กลางๆ จีดีพีจะอยู่ที่ 6.8% และเงินหยวนอยู่ที่ 7.33 หยวนต่อดอลลาร์ขณะที่ราคาน้ำมันในปีนี้อาจจะขึ้นไปสูงถึง 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ระดับกลางๆจะอยู่ที่ 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลบทวิเคราะห์ดังกล่าวเตือนถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐอาจพุ่งสูงสุดในปีนี้ถึง 4% แต่ระดับกลางๆอยู่ที่ 3% แต่จุดที่ถือว่าเป็นอันตรายและอาจนำมาสู่วิกฤติการเงินอีกหากว่าบอนด์ยีลด์ขึ้นไปที่ 3.5% โดยระบุว่าทุกๆ 1% ของบอนด์ยีลด์ที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อรายได้ของธุรกิจและส่งผลต่อจีดีพีสหรัฐตกต่ำลง 0.2%"

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: http://www.nationtv.tv/main/content/economy-business/378531825/

แชร์