ไขข้อสงสัยเรื่องภิกษุณี ทำไม ถึงบวชไม้ได้ในนิกายเถรวาท

ไขข้อสงสัย เรื่องภิกษุณี สตรีนั้นก็ไม่มีทางเป็นภิกษุณีได้เลย บวชให้ไปก็เสียเปล่าแถมต้องอาบัติอีก สตรีผู้เข้าบวชก็เท่ากับถูกหลอกให้เป็นภิกษุณีเท่านั้นเอง ไม่สามารถสำเร็จเป็นภิกษุณี เข้าลักษณะปาราชิกตั้งแต่เริ่มบวชหรือก่อนบวชแล้ว http://winne.ws/n13055

1.6 พัน ผู้เข้าชม

กระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์เรื่องภิกษุณีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบันก็มีกระแสข่าวในโลกโซเซี่ยล เรียกร้องขอให้แก้พรบ.สงฆ์ รับรองการบวชภิกษุณีสงฆ์ได้ ไม่ผิดกฏหมาย (ติตามอ่านเพิ่มเติมที่ http://www.matichon.co.th/news/453999)   

ไขข้อสงสัยเรื่องภิกษุณี ทำไม ถึงบวชไม้ได้ในนิกายเถรวาท

ซึ่งประเด็นนี้พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้เคยเขียนบทความ เพื่อชี้แจงและสร้างความเข้าใจถูกต่อเรื่องการบวชภิกษุณีในประเทศไทยไว้แล้ว ดังนี้

            สืบเนื่องจากที่มติมหาเถรสมาคมมีมติห้ามภิกษุสงฆ์ไทยให้การบรรพชาอุปสมบท แก่สตรี เป็นสามเณรี-ภิกษุณีเมื่อสมัยประชุมวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗  ที่ผ่านมา  กลายเป็นข่าวต่อเนื่อง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง  เอากันกระทั่งพระมหาเถระที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งประกอบด้วยพระมหาเถระอายุพรรษามากๆ เกือบจะทั้งหมดบวชมาเกินกว่า ๕๐ พรรษา (บวชมากว่า ๕๐ พรรษา ส่วนมากเกินกว่า ๖๐ พรรษา) อายุก็กว่า ๗๐ ปี กลายเป็นจำเลยของคนในสังคมออนไลน์ไปโดยพลัน

      “เป็นพฤติกรรมสอนสังฆราช  เป็นพฤติกรรมถอนหงอกผู้เฒ่า  เป็นพฤติกรรมก้าวร้าวของผู้ด้อยการศึกษาในพระพุทธศาสนา  เป็นพฤติกรรมของผู้ด้อยปัญญาในพระธรรมวินัย  เป็นพฤติกรรมของผู้หลงใหลในสิทธิเสรีภาพแบบขยะของโลกตะวันตก  เป็นพฤติกรรมลามกของบุคคล ผู้น่าสงสาร  เป็นพฤติกรรมของลูกหลานผู้ไร้วัฒนธรรมแห่งชนชาติของตน

ไขข้อสงสัยเรื่องภิกษุณี ทำไม ถึงบวชไม้ได้ในนิกายเถรวาท

 พระมหาเถระเหล่านั้นตกเป็นจำเลยในข้อหาอย่างน้อย ๓ ข้อคือ 

๑.จำกัดสิทธิเสรีภาพสตรี 

๒.ปฏิบัติขัดหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน  

๓.ปฏิบัติขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา ๔ ล้วนเป็นข้อหาฉกาจฉกรรจ์ 

     ข้อหาทั้ง ๓ ข้อนี้มีสาเหตุมาจากการประกาศห้ามพระภิกษุสงฆ์ไทยให้บรรพชาอุปสมบทแก่สตรีเป็นสามเณรีและภิกษุณี (เถรวาท) และห้ามภิกษุสงฆ์ชาติอื่นมาทำการบรรพชาและอุปสมบทแก่สตรีแบบเถรวาทในประเทศไทยก่อนได้รับอนุญาตจากคณะสงฆ์ไทย

     ความจริงมหาเถรสมาคมนั้น ท่านจะประกาศห้ามหรือไม่ประกาศห้ามก็มีค่าเท่ากัน  เพราะ

✋ แม้ท่านจะบวชให้สตรีให้เป็นภิกษุณีเอง สตรีนั้นก็ไม่มีทางเป็นภิกษุณีได้เลย 

✋ บวชให้ไปก็เสียเปล่าแถมต้องอาบัติอีก 

✋ สตรีผู้เข้าบวชก็เท่ากับถูกหลอกให้เป็นภิกษุณีเท่านั้นเอง ไม่สามารถสำเร็จเป็นภิกษุณี เข้าลักษณะปาราชิกตั้งแต่เริ่มบวชหรือก่อนบวชแล้ว  

ไขข้อสงสัยเรื่องภิกษุณี ทำไม ถึงบวชไม้ได้ในนิกายเถรวาท

    มีสตรีบางท่านออกมาบอกว่าได้ศึกษามาดีแล้ว บวชได้แน่นอนแสดงความอ่อนด้อยปัญญาออกมาชัดๆ  ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า

    ๑. พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ทำการให้อุปสมบทแก่สตรีซึ่งไม่ได้รับการอุปสมบทมาจากภิกษุณีสงฆ์ก่อน

    ๒. ผู้ที่เป็นภิกษุณีต้องเคารพในพระวินัย ต้องเคารพในครุธรรม ๘ การที่ภิกษุสงฆ์จะบวชให้ใครต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยจะเป็นภิกษุณีได้อย่างไร

    ๓. พระภิกษุสงฆ์ท่านเคารพพระธรรมวินัยเป็นศาสดา ตามบทพระบาลีในมหาปรินิพพานสูตรที่ว่า โย  โว  อานนฺท  มยา  ธมฺโม จ  วินโย  จ  เทสิโต  ปญฺญตฺโต    โส  โว  มมจฺจเยน  สตฺถา แปลว่า “ดูกรอานนท์ พระธรรมและพระวินัยอันใดที่เรา (ตถาคต) ได้แสดงไว้แล้ว ไดบัญญัติไว้แล้ว แก่เธอทั้งหลาย  โดยกาลที่ล่วงไปแห่งเรา (ตถาคต) พระธรรมและพระวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอ” ภิกษุใดไม่ทำตามนี้ย่อมชื่อว่าไม่เคารพพระศาสดา เมื่อไม่เคารพพระศาสดาการดำรงตนเป็นภิกษุสงฆ์ก็จะมีประโยชน์อะไร

    ๔. ในอปริหานิยธรรมสูตร พระสูตรว่าด้วยเรื่องหลักแห่งความไม่เสื่อมของหมู่คณะ มีแต่ความเจริญฝ่ายเดียว  เอาเฉพาะข้อที่ ๓ ว่า “ไม่บัญญัติสิกขาบทพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ ไม่รื้อถอนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว”  หมายความว่า ถ้าภิกษุรูปใดให้การอุปสมบทแก่สตรีเป็นภิกษุณี ก็เท่ากับว่าภิกษุรูปนั้นบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ รื้อถอนถอนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว  นั่นคือทำให้พระศาสนาเสื่อม อย่างนั้นแล้วจะเป็นภิกษุอยู่ทำไม

    ๕. พระภิกษุสงฆ์ท่านเคารพในพระศาสดาคือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ท่านเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน  ไม่ใช่ท่านเคารพหลักสิทธิเสรีภาพ  ท่านไม่ได้เอาหลักเหล่านี้เป็นศาสดา จึงต้องปฏิบัติตามคำสอนของศาสดา

    ๖. พระภิกษุสงฆ์ท่านไม่ได้เอารัฐธรรมนูญเป็นศาสดา  แต่ท่านเอาพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดา ลองคิดดูเถอะว่าถ้าท่านเอารัฐธรรมนูญเป็นศาสดา  ถึงวันนี้พระศาสดาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ไทยเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ๑๘ ฉบับ  หนึ่งฉบับก็เป็น ๑ หน้า พระพุทธเจ้าก็คงจะ ๑๘ หน้า ๑๙ หน้าไปแล้ว

ไขข้อสงสัยเรื่องภิกษุณี ทำไม ถึงบวชไม้ได้ในนิกายเถรวาท

    ๗. เหตุแห่งความเสื่อมของพระศาสนา ๕ อย่างคือ 

        ๑. พุทธบริษัท ไม่ฟังธรรมโดยเคารพ

        ๒. พุทธบริษัท ไม่เรียนธรรมโดยเคารพ

        ๓. พุทธบริษัทไม่ทรงจำธรรมโดยเคารพ

        ๔. พุทธบริษัท ไม่พิจารณาธรรมที่ทรงจำไว้ได้แล้วโดยเคารพ

        ๕. พุทธบริษัท ไม่ยอมปฏิบัติธรรมตามที่ได้ศึกษาเข้าใจแล้วโดยเคารพ

    ข้อสุดท้ายคือการไม่ปฏิบัติตามพระธรรมที่ศึกษาแล้ว แสดงว่าไม่เคารพต่อพระธรรมวินัย พระภิกษุสงฆ์ไทยท่านรักษาพระพุทธศาสนามาได้ ๒๓๐๐ กว่าปี เพราะท่านปฏิบัติพระธรรมวินัยมาด้วยความเคารพพระธรรมวินัย  การที่นักสิทธิมนุษยชนมาขอร้องหรือมาบังคับให้ท่านทำตามตนย่อมเป็นไปไม่ได้  แต่หากเป็นไปได้เมื่อใดก็เป็นอันว่านับถอยหลังพระพุทธศาสนาได้  อย่างไรก็ตามเชื่อว่าท่านคงไม่ยอมทำเช่นนั้น

มีหลักฐานใดแสดงว่าเชื้อสายภิกษุณีสายเถรวาทเคยเข้ามาสู่ประเทศไทย เอากันตั้งแต่ยุค สุวรรณภูมิ  ที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระโสณเถระ พระอุตตรเถระ พระฌานียเถระ พระภูริยเถระ พระมุนียเถระ เข้ามาสู่สุวรรณภูมิเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ ท่านก็ไม่มีภิกษุณีมาด้วย  เมื่อกุลธิดา ต้องการจะบวชท่านก็ให้บวชเป็น “ชี”  นับตั้งแต่ พ.ศ. นั้นเองที่แม่ชีเกิดมีขึ้นในแผ่นดินสุวรรณภูมินี้ 

แล้วมาถึงวันนี้พระภิกษุสงฆ์จะทำการอุปสมบทให้แก่สตรีได้อย่างไร (จาก...พุทธสาสนภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้า ๔๔๐)

ไขข้อสงสัยเรื่องภิกษุณี ทำไม ถึงบวชไม้ได้ในนิกายเถรวาท

  ๙. พระภิกษุสงฆ์ ท่านจะไม่ทำตัวเป็นศาสดาเสียเอง และจะไม่ทำตามคำขอร้องหรือข้อบังคับของใครที่ออกนอกพระธรรมวินัย  จะมาอ้างเป็นนักสิทธิมนุษยชน เป็นนักเสรีภาพ เป็นนักประชาธิปไตย เป็นนักร่างกฎหมาย หรือนักใดๆ ก็นักไปเถอะ เว้นแต่ภิกษุสงฆ์ท่านผู้นั้นจะเป็นพระนอกคอก  คือนอกพระธรรม นอกพระวินัยเท่านั้น  ไม่เคารพในพระศาสดาเท่านั้น

    ๑๐.  การวิพากษ์ว่าพระสงฆ์ไทยใจแคบก็คือการด่าพระสงฆ์  การวิพากษ์ว่าพระสงฆ์ไม่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนก็คือการด่าพระสงฆ์ การที่มีข่าวทางโซเชียลมีเดียว่าจะไปสอบพระสงฆ์ซึ่งดำรงตำแหน่งมหาเถรสมาคม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าท่านมีมติไปตามพระธรรมวินัย นับว่าเป็นวาทะที่น่าสมเพชเวทนาที่สุด  ไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นมาจากโลกไหนสวรรค์ไหน ความจริงพระภิกษุสงฆ์ท่านก็มีสิทธิเสรีภาพของท่านเหมือนกัน  จะไปรุกล้ำสิทธิเสรีภาพของท่านได้อย่างไร

    ๑๑. จากข่าวเรื่องการบวชภิกษุณี ได้ทราบว่าสตรีเหล่านั้นบางส่วนไปบวชมาจากประเทศอื่น และกว่าสามสิบชีวิตมาบวชที่เกาะยอจังหวัดสงขลา แต่เอาพระภิกษุจากต่างประเทศมาเป็นพระอุปัชฌาย์ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า อุปัชฌาย์นั้นมีความรู้เรื่องพระวินัยเพียงใด  มาจากพระสงฆ์นิกายไหน  ท่านมีมารยาทเหมาะสมหรือสมควรเพียงไร ในการที่จะมาเป็นอุปัชฌาย์เพื่อให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมไทย

  ๑๒. ท่านผู้อ้างว่าเป็นภิกษุณีเหล่านั้น ไปบวชมากับใครไม่รู้  แต่จะมาบังคับข่มขู่ให้คณะสงฆ์ไทยยอมรับเป็นลูก  ก็ไม่รู้ว่าไปเป็นลูกใครมาแล้วจะมาขอร้อง บังคับ ข่มขู่  หาพวกมาข่มขู่ ให้พระภิกษุสงฆ์ไทยรับเป็นลูก  มันเป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออกจริงๆ  ไปทำโคลนที่ไหนไม่รู้แล้วมาเรียกร้องหาพ่อ

     สรุปว่า ใครจะปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติไปเถอะ ไม่มีใครกีดกัน ทุกคนสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่ อย่าไปบังคับขู่เข็ญคนอื่นเขา อย่าไปล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพของคนอื่นเขา พระสงฆ์ท่านยอมรับในกฎเกณฑ์กติกา ยอมที่จะไม่มีครอบครัว  ยอมที่จะสละชีวิตบูชาพระธรรมวินัยอันเป็นสิ่งแทนพระบรมศาสดา  มหาเถรสมาคมท่านปฏิบัติหน้าที่ของท่านถูกต้องแล้ว ส่วนว่าใครจะบูชาหลักสิทธิมนุษยชนหรือบูชารัฐธรรมนูญเป็นศาสดาก็เชิญตามอัธยาสัยเถิด

    ได้อ่านข้อความของนักวิชาการบางท่านเพ้อเจ้อมากยมายไปว่า พระสงฆ์มีเงินจะต้องตรวจสอบเงินพระ สงฆ์บ้าง  พระสงฆ์บางรูปประพฤติตัวไม่เหมาะอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง  งานบวชมีการถวายเงินแก่พระอุปัชฌาย์บ้าง  ถามว่าพระพุทธเจ้าห้ามอย่างไร ให้ลองไปอ่านมาใหม่ ที่ว่ามานั้นแสดงให้เห็นว่าผู้วิพากษ์มีความรู้ยังไม่สามารถเทียบได้กับจบชั้นประถมต้นเลย  แต่กลับแสดงความรู้ชั้นอุดมศึกษา เป็นการอวดรู้มากเกินไป ตนเองเคยทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติกับพระศาสนาบ้าง ถ้าจะมีเรื่องผิดจริงจะผิดมากผิดน้อยนั่นก็เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล   ไม่ใช่เรื่องขององค์กรแห่งพระศาสนา  และถ้าจะมีเจตนาดีช่วยกันแก้ปัญหาก็ต้องไปแก้กันที่จุดนั้น  ไม่ใช่มาคิดล้มล้างองค์กรพระพุทธศาสนา

    ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ไม่ได้ออกมาแก้ต่างให้ใครเป็นการเฉพาะ  แต่ชี้แจงมาเพื่อพิทักษ์ ปกป้อง คุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นสถาบันหลัก ๑ ใน ๓ ของชนชาติไทย และชี้แจงมาเพื่อความถูกต้อง  ไม่ได้มุ่งลบหลู่ดูหมิ่นใครหรือยกย่องใคร  จึงขอให้ท่านผู้มีสัมมาทิฏฐิทั้งหลายได้ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาด้วยความตรงไปตรงมาด้วย   


    ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก

http://rightview0202016.blogspot.sg/2017/02/blog-post_6.html?m=1

แชร์