คิดเก่ง ทุกข์เก่ง!! บทความธรรมะจาก ปิยสีโลภิกขุ
พระฝรั่งรูปหนึ่งเล่าว่า ก่อนบวชเคยเป็นผู้ช่วยพยาบาลดูแลผู้พิการทางสติปัญญา ท่านสังเกตว่า ผู้ป่วยที่คิดอะไรได้น้อยมักร่าเริงและมีความสุขกับชีวิตประจำวันแต่คนที่คิดได้มากกว่ากลับเป็นทุกข์และสร้างปัญหาให้ตัวเองได้มากตามไปด้วย http://winne.ws/n13078
พระฝรั่งรูปหนึ่งเล่าว่า ก่อนบวชเคยเป็นผู้ช่วยพยาบาลดูแลผู้พิการทางสติปัญญา ท่านสังเกตว่า ผู้ป่วยที่คิดอะไรได้น้อยมักร่าเริงและมีความสุขกับชีวิตประจำวันแต่คนที่คิดได้มากกว่ากลับเป็นทุกข์และสร้างปัญหาให้ตัวเองได้มากตามไปด้วย
ข้อสังเกตนี้คงใช้กับคนทั่วไปได้เช่นกัน เพราะคนคิดมากย่อมมีโอกาสเป็นทุกข์ได้มาก ยิ่งคิดซับซ้อน ความทุกข์ทางใจก็พลอยซับซ้อนไปด้วย
ความคิดของมนุษย์มีพลังอย่างยิ่ง ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุในปัจจุบันล้วนเป็นผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งความสำเร็จในชีวิตการงานมักจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการคิดเป็นสำคัญ คนทั่วไปจึงเห็นแต่ประโยชน์ของความคิด และไม่เห็นว่าเป็นที่มาของทุกข์ทางใจหลายประการ
หากความคิดทั้งหมดเป็นกุศล คงไม่เป็นปัญหาแต่ประการใด แต่เราคงต้องยอมรับว่า ความคิดของเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นไปในทางกุศลเท่าใดนัก เราจึงต้องรับผลจากความคิดของตนเอง
ชีวิตในสังคมสมัยใหม่มีกิจกรรมให้สมองทำงานเกือบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการทำงานตามหน้าที่หรือการรับข้อมูลผ่านสื่ออันหลากหลายความคิดที่ไม่หยุดหย่อนส่งผลโดยตรงต่อจิตใจ หลายคนพบว่าความคิดตกค้างในใจยาวนาน จนบางคราวถึงกับนอนไม่หลับ เวลาที่ต้องอยู่ตามลำพังก็อยู่กับตัวเองได้ยาก เพราะไม่อาจเผชิญกับความคิดฟุ้งซ่านที่วิ่งไปเรื่องโน้นเรื่องนี้โดยไม่รู้จบ บ่อยครั้งที่ความเหนื่อยล้าทางใจเกิดขึ้นจากการคิดไม่หยุดนี้เอง นอกจากนี้แล้วยังมีความคิดเชิงลบอีกหลายประการที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัวและวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น
บทเรียนแรกในการปฏิบัติธรรมจึงเป็นการเฝ้ามองความคิดในใจ ให้รู้ว่ายิ่งคิด ยิ่งทุกข์ หากปล่อยวางความคิดลงได้ก็เป็นสุข และเมื่อพัฒนาทักษะการหยุดคิดได้แล้วจึงจะใช้ความคิดไปในทิศทางที่เหมาะสมต่อไป การ “คิดเป็น” ในทางธรรมนั้น นอกจากจะคิดเก่งแล้ว ยังต้องคิดดีและคิดให้เป็นสุขด้วย
คิดเก่ง หมายถึง การคิดอย่างคล่องแคล่ว มีประสิทธิภาพ คิดดี หมายถึง การคิดถูกต้องดีงาม ไม่ขัดหลักศีลธรรม ส่วนคิดให้เป็นสุข คือ คิดสร้างสรรค์ในทางบวกและรู้จักปล่อยวางความทุกข์ในใจ
สิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตที่ดีงามคือ “การคิดเป็น” ประกอบกับ “การหยุดคิดได้” ในเวลาที่ควรจะหยุด ทั้งสองอย่างนี้จะช่วยให้เราจัดการความคิดได้ลงตัวและมีสมดุล ไม่ถูกลากจูงไปในทางสร้างทุกข์มากนัก
โลกนี้มีอะไรมากมายที่ไม่จำเป็นต้องคิด บางอย่างรู้แล้วไม่เก็บมาใส่ใจน่าจะดีกว่า หากเรายอมโง่บางเรื่องก็จะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการคิดวุ่นวาย ทำให้มีเวลานั่งมองและทำความเข้าใจชีวิตได้มากขึ้น
เคล็ดลับที่ว่านี้อาจดูเล็กน้อยจนหลายคนมองข้าม แต่เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตเป็นสุขได้มากกว่าที่คิด