จริงหรือ???โกจิเบอรี่คือผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด!!!
โกจิเบอร์รี่มักจะถูกเรียกว่า “เบอร์รี่แห่งความสุข” เนื่องจากผู้คนจะรู้สึกดีและมีพลังเมื่อรับประทานเป็นประจำ อย่างไรก็ตามโกจิเบอร์รี่ไม่ใช่เป็นยารักษาโรคและเป็นเพียงหนึ่งในอาหารเสริมตามธรรมชาติที่ดีที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล http://winne.ws/n13100
หลายปีที่ผ่านมานี้โกจิเบอร์รี่หรือเก๋ากี้มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดยุโรปและอเมริกา โกจิเบอร์รี่มีต้นกำเนิดอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยซึ่งได้รับความนิยมมานานหลายร้อยปีแล้วเนื่องจากเป็นส่วนผสมที่พบได้ในสูตรอาหารและยารักษาโรคจำนวนมากมาย
โกจิเบอร์รี่หรือเก๋ากี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Wolf Berries เป็นพืชไม้พุ่มในตระกูล Lycium Barbarum ซึ่งสูงประมาณ 1-3 ฟุต มีผลเป็นสีส้มแดงยาว 1-2 เซนติเมตร โกจิเบอร์รี่แต่ละผลจะมีเมล็ดราว 10-60 เมล็ดและโตเต็มที่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม เราสามารถรับประทานได้ทั้งแบบสดหรือแบบแห้งซึ่งมีรสหวานและหาซื้อได้ในรูปแบบของชาและน้ำผลไม้ ส่วนประเทศที่เพาะปลูกและส่งออกมากที่สุดในโลกคือประเทศจีน
โกจิเบอร์รี่มีประโยชน์ยังไง?
โกจิเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีการนำมาใช้ในแพทย์แผนจีนเป็นเวลานานมากแล้ว ขณะที่โลก “ตะวันตก” เพิ่ง “ค้นพบ” เมื่อช่วงสิบปีที่ผ่านมาและมีการจัดอันดับให้เทียบเท่ากับสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพด้วย เพราะเหตุใด?
โกจิเบอร์รี่เป็นผลไม้ชนิดแรกของสหรัฐอเมริกาที่ใช้ค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ซึ่งเป็นมาตราส่วนที่ใช้วัดคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของอาหาร ถ้าค่า ORAC สูงแสดงว่าอาหารมีประสิทธิภาพในการทำลายอนุมูลอิสระ ในผลโกจิเบอร์รี่ 100 กรัมจะมีค่า ORAC มากถึง 25,300 หน่วยเมื่อเทียบกับลูกพลัมในอันดับสองซึ่งมีเพียง 5,770 หน่วยเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้โกจิเบอร์รี่จึงเป็นอาหารที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสภาพร่างกายและชะลอกระบวนการชราภาพ โกจิเบอร์รี่ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 68 โปรตีนร้อยละ 12 ไฟเบอร์ร้อยละ 10 และไขมันร้อยละ 10 ดังนั้นในผลโกจิเบอร์รี่ 100 กรัมจึงมีแคลอรี่ประมาณ 370 แคลอรี่
โกจิเบอร์รี่มีประโยชน์ยังไง?
โกจิเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีการนำมาใช้ในแพทย์แผนจีนเป็นเวลานานมากแล้ว ขณะที่โลก “ตะวันตก” เพิ่ง “ค้นพบ” เมื่อช่วงสิบปีที่ผ่านมาและมีการจัดอันดับให้เทียบเท่ากับสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพด้วย เพราะเหตุใด?
โกจิเบอร์รี่เป็นผลไม้ชนิดแรกของสหรัฐอเมริกาที่ใช้ค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ซึ่งเป็นมาตราส่วนที่ใช้วัดคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของอาหาร ถ้าค่า ORAC สูงแสดงว่าอาหารมีประสิทธิภาพในการทำลายอนุมูลอิสระ ในผลโกจิเบอร์รี่ 100 กรัมจะมีค่า ORAC มากถึง 25,300 หน่วยเมื่อเทียบกับลูกพลัมในอันดับสองซึ่งมีเพียง 5,770 หน่วยเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้โกจิเบอร์รี่จึงเป็นอาหารที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสภาพร่างกายและชะลอกระบวนการชราภาพ โกจิเบอร์รี่ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 68 โปรตีนร้อยละ 12 ไฟเบอร์ร้อยละ 10 และไขมันร้อยละ 10 ดังนั้นในผลโกจิเบอร์รี่ 100 กรัมจึงมีแคลอรี่ประมาณ 370 แคลอรี่
วิตามินที่เยี่ยมยอดสำหรับร่างกายของโกจิเบอร์รี่
ผลโกจิเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซี ธาตุเหล็ก และสารอาหารจำนวนมาก รวมถึงสารพฤกษเคมีหรือไฟโตนิวเทรียนท์ เช่น
#กรดอะมิโน 18 ชนิด ( 8 มีความสำคัญและจำเป็นในชีวิตประจำวัน)
#วิตามินที่จำเป็น 6 ชนิด (เช่น ไรโบเฟลวิน/วิตามินบี 2/วิตามินบี 1/วิตามินซี)
#แร่ธาตุ 21 ชนิด (เช่น ธาตุเหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม แคลเซียม โพแทสเซียม)
#โพลีแซคคาไรด์ 8 ชนิดและโมโนแซคคาไรด์ 6 ชนิด
#กรดไขมันไม่อิ่มตัว 5 ชนิด เช่น กรดไลโนเลอิกและกรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิกซึ่งจำเป็นต่อสมองและระบบประสาท
#เบต้า-ซิโตสเตอรอล (ซึ่งช่วยลดระดับคอเรสเตอรอล) และไฟโตสเตอรอลอื่นๆ
#แคโรทีนอยด์ 5 ชนิด (เบต้า-แคโรทีน ซีแซนทิน ลูทีน ไลโคปีน คริฟโตแซนทิน แซนโทฟิลล์)
#เม็ดสีฟีนอลที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
โกจิเบอรรี่มีบทบาทสำคัญในการแพทย์แผนโบราณของจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และทิเบตมานานหลายปีแล้ว
ปฏิกิริยาเชิงบวกต่อสุขภาพของโกจิเบอร์รี่
ทุกวันนี้โกจิเบอร์รี่มีสรรพคุณเพื่อ
>เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
>ทำให้สายตาดีขึ้น
>เพิ่มการไหลเวียนเลือด ผ่อนคลายหลอดเลือด และส่งผลดีกับความดันโลหิตสูง
>ปกป้องตับและไต
>มีผลกระทบเชิงบวกต่อผิวสีแทน
>มีผลกระทบเชิงบวกต่อระบบทางเดินปัสสาวะและการผลิตอสุจิ
>ลดผลข้างเคียงของเคมีบำบัดและการฉายแสง
>บรรเทาอาการปวดหลัง
>โรคเบาหวาน
โกจิเบอร์รี่มักจะถูกเรียกว่า “เบอร์รี่แห่งความสุข” เนื่องจากผู้คนจะรู้สึกดีและมีพลังเมื่อรับประทานเป็นประจำ อย่างไรก็ตามโกจิเบอร์รี่ไม่ใช่เป็นยารักษาโรคและเป็นเพียงหนึ่งในอาหารเสริมตามธรรมชาติที่ดีที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล