ใช้ระบบกล่าวหา!กว่า 300 คดีวัดพระธรรมกาย ทำไปเพราะลืมขั้นตอนการสืบสวน ใช่หรือไม่ ?
การแจ้งข้อกล่าวหาว่า “วัดพระธรรมกาย” และ “มูลนิธิธรรมกาย” ว่ากระทำผิดทางอาญามากกว่า 300 คดี จนท.ตร.ได้ทำการสืบสวน และการสอบสวน ผู้ถูกกล่าวหา ชอบด้วยกฎหมายและด้วยความเป็นธรรมหรือไม่? http://winne.ws/n13151
“กฎหมายประเทศกลาแลนด์เป็นระบบกล่าวหา ก็แจ้งข้อกล่าวหาไว้ก่อน แล้วให้ไปแก้ตัวเอาที่ศาล”
น่าจะเป็นวาทะแห่งปีที่ผ่านมา ที่ทุกท่านได้ทราบกันเป็นอย่างดีว่า เป็นวาทะที่แสดงถึงการลุแก่อำนาจของผู้มีอำนาจในกลาแลนด์
การแจ้งข้อกล่าวหาว่า “วัดพระธรรมกาย” และ “มูลนิธิธรรมกาย” กระทำผิดทางอาญามากกว่า 300 คดี เป็นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยมิชอบและผู้ถูกกล่าวหาได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐด้วยความเป็นธรรมหรือไม่?
หลักกฎหมายในการแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 วรรค 2 กำหนดว่า “การแจ้งข้อหาตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำผิดตามข้อหานั้น”
ครับก็เป็นที่ชัดเจนว่าหลักกฎหมายมีความยุติธรรมอยู่ ที่กำหนดให้ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะแจ้งข้อกล่าวหา ต้องมีหลักฐานพอสมควรก่อนว่า “ผู้ถูกถูกกล่าวหา” ได้กระทำความผิด เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้เขียนจึงได้ค้นคว้าพบว่า กรมตำรวจเองก็มีหลักให้ความยุติธรรมในเรื่องนี้
โดยมีบันทึกข้อความของกองคดี กรมตำรวจ ที่ 0503/6968 วันที่ 22 มีนาคม 2517 เรื่อง การแจ้งข้อหาคดีอาญาให้ผู้ต้องหาทราบดังนี้ ในกรณีมีผู้มาร้องทุกข์หรือกล่าวโทษในคดีอาญา ในโอกาสแรกที่พนักงานสอบสวนพึงกระทำ ในเมื่อผู้ต้องหายังไม่ได้ปรากฏตัวต่อพนักงานสอบสวน ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 คือควรทำการสืบสวนเสียก่อน เมื่อฟังได้ว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นจึงดำเนินการสอบสวนต่อไป ( ตามนัยความเห็นของอธิบดีกรมอัยการ ในบันทึกที่ 3557/2504 ลง 8 สิงหาคม 2504 ซึ่งได้สำเนามาให้ทราบด้วยแล้ว ) แปลง่ายๆ คือ ”ให้สืบสวน” เสียก่อน เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดจริงจึงจะแจ้งข้อกล่าวหาและทำการ “สอบสวน” เพื่อความเข้าใจขออธิบายคำว่า “สืบสวน” กับ “สอบสวน”ดังนี้ครับ
“การสืบสวน” หมายความถึง
การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเพื่อทราบรายละเอียดแห่งความผิด “ การสืบสวน” จึงมีได้ทั้งก่อนการกระทำผิดและหลังกระทำผิด
“การสอบสวน” หมายความถึง
การรวบรวมพยานหลักฐานและการดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ “การสอบสวน” จะมีได้เฉพาะกรณีหลังกระทำผิดเท่านั้น
ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการแจ้งข้อหาและทำการสอบสวนเกี่ยวกับคดีต่าง ๆ ของวัดพระธรรมกาย ทั้งที่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำความผิดของวัดหรือไม่ จึงเข้าลักษณะกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบปฏิบัติของกรมตำรวจด้วยประการทั้งปวง
มีข้อกล่าวหาตัวอย่างตามที่เคยเขียนไปแล้ว มีลักษณะดังกล่าว เช่น คดีที่ตำรวจอ้างว่าพบว่ามีการนำเอาเศษเสาเข็มคอนกรีตจำนวน 3 ท่อนมาวางเรียงขวางถนนไว้ และมีการกล่าวหาว่ามีผู้เอาตะปูเรือใบมาโรยขวางถนน ตำรวจยังไม่ทำการ “สืบสวน” ก่อนว่าเหตุเกิดเมื่อไร ,ใครเป็นคนทำ ,มีหลักฐานอย่างไร อาจจะเป็นการกระทำของผู้ไม่หวังดีต่อวัดหรือผู้ที่ต้องการให้เกิดข้อกล่าวหาก็ได้ แต่ตำรวจ ก็แจ้งข้อหาว่าเป็นการกระทำของ”วัดพระธรรมกาย” เอาไว้ก่อน
ที่สำคัญคือ “วัด”เป็นนิติบุคคล ซึ่งจะรับผิดก็แต่เฉพาะความผิดอันเกิดขึ้นจากการกระทำตามวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนไว้เท่านั้น
การวางเสาเข็มหรือวางตะปูเรือใบ “วัด” เดินไปทำไม่ได้ ทำได้เฉพาะบุคคลธรรมดา แต่ตำรวจก็ยังแจ้งข้อหาเพื่อ ให้ไปแก้ตัวเอาในศาลตามเจตนาของเจ้านาย มีเรื่องน่าขำที่ขำไม่ออกกรณีหนึ่งคือ ตำรวจ “สืบสวน” ได้ความว่า มีพื้นที่แห่งหนึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของ ”มูลนิธิธรรมกาย” และพยายามจะตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มให้ “มูลนิธิธรรมกาย” อีก
ทั้งที่พื้นที่นั้นมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล เหตุที่สงสัยเพียงเพราะมีการตั้งชื่อสถานที่เหมือนกับสถานที่ของ “มูลนิธิธรรมกาย” มีการจัดโครงการปฏิบัติธรรมโดยกลุ่มของ “วัดพระธรรมกาย” มีกัลยาณมิตรและผู้สนใจโครงการปฏิบัติธรรมของ ”วัดพระธรรมกาย” ไปใช้บริการเป็นประจำ เมื่อตำรวจสงสัยแบบนี้ ทำให้ผมสงสัยว่า
“ศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ” ที่วัดพระธรรมกายเคยใช้บริการจัดกิจกรรมที่นั่นจะเป็นของวัดพระธรรมกายด้วยไหม?
“โรงแรมสวนบัว จ.เชียงใหม่” ที่วัดพระธรรมกายเคยใช้บริการจัดกิจกรรมที่นั่นจะเป็นของวัดพระธรรมกายด้วยไหม?
“รีสอร์ท หลายแห่ง” ที่วัดพระธรรมกายเคยใช้บริการจัดกิจกรรมจะเป็นของวัดพระธรรมกายด้วยไหม?
หรือตำรวจยุคนี้แยกแยะความเป็น “เจ้าของกับผู้ใช้” และ “ผิด/ถูก” ไม่ออกจริง ๆ
"พรุ่งนี้วันมาฆบูชา มาปฏิบัติธรรมบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันนะครับ"
เรียบเรียงโดย คนสองยุค ตอนที่ 9
วันศุกร์ ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560