“นปช.” ขานรับ..พร้อมร่วมวงปรองดอง 13 มี.ค.นี้

"นปช." ร่วมวงปรองดอง 13 มี.ค.นี้ ด้าน "พระพยอม" ชี้ หากปรองดองครั้งนี้ ไม่สำเร็จ ชาติหน้าตอนบ่าย แนะเล่นตามกติกา เลิกเล่นบนถนน http://winne.ws/n13375

1.0 พัน ผู้เข้าชม
“นปช.” ขานรับ..พร้อมร่วมวงปรองดอง 13 มี.ค.นี้

           19 ก.พ.60 -- แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และพีซทีวี จัดเวทีทัศน์สานเสวนา เรื่องปรองดอง ครั้งที่ 4 ที่ห้องไม้ไผ่ ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลลาดพร้าว โดยเชิญพระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว แสดงธรรมบรรยายในหัวข้อ“หนทางปรองดองประเทศไทย” พร้อมแกนนำนปช. อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน้านปช. นางธิดา ถาวรเศรษฐ และนพ.เหวง โตจิราการ                                         

            โดยนายจตุพร กล่าวว่า ได้รับหนังสือเชิญเข้าร่วมแสดงความเห็นต่อประเด็นการสร้างความปรองดอง ลงนามโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตีและรมว.กลาโหม ยืนยันว่าตนจะไปตามนัดหมายในวันที่13 มี.ค.นี้ เพราะลำพังบุคคลธรรมดามาพูดเรื่องปรองดองคงหมดความน่าเชื่อไปแล้ว ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ใครพูดเรื่องปรองดองก็หลอกลวงกันไปหมด แต่ครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำพระกระแสรับสั่งของพระเจ้าอยู่หัว มานำร่องพูดเรื่องการปรองดอง เป็นเพราะพระกระแสรับสั่งพวกเราจึงยินดีเข้าร่วม ซึ่งการปรองดองเป็นหน้าที่ของคนไทย เรามีหน้าที่ให้ความร่วมมือ พยายามไม่เป็นอุปสรรค แต่เรื่องความสำเร็จเป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ ถ้าปรองดองครั้งนี้ไม่จบก็คือจบ ใครที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็ต้องรับผิดชอบไป ขอให้พี่น้องนปช.สบายใจว่าเราจะรักษาความถูกต้องไม่มีการทรยศวีรชน ซึ่งระยะเวลา 3 เดือนจากนี้ถือเป็นการพิสูจน์อย่างรวดเร็ว หากเดินเข้าไปถึงเดือนเม.ย.แล้วยังไม่สำเร็จ หลายอย่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

                                                                                  

            ด้านพระพยอม กัลยาโณ กล่าวว่า เราต้องดูต้นตอแห่งความขัดแย้งในสังคม อันดับแรกคือความยุติธรรมในสังคม การไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นการล่มสลายในการสร้างความปรองดอง หากเราเห็นอีกฝ่ายผิดตลอด ไร้เสถียรภาพทางสังคมไม่เป็นปึกแผ่นก็จะยุ่งวุ่นวาย ถ้าเราข้ามตรงนี้ไปได้ก็จะเกิดการปรองดองได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าเราช่วยกันมองให้เห็นทั้งคุณและโทษ ความสามัคคีปรองดองก็จะทำให้ทุกเรื่องจากหนักกลายเป็นเบา นอกจากนี้ ยังอยากให้ใช้ความพยายามในการลดการรังเกียจกัน เพราะหากเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจะเกิดผลกระทบทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะครอบครัวที่มีความแตกแยก ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ปัญหาคือที่ผ่านมาทุกฝ่ายมีฮาร์ดคอทำให้อุดมการณ์เปลี่ยนไป                                                 

           พระพยอม กล่าวว่า ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยเทศน์ไว้หลายปีก่อนว่า หากประชาชนกับรัฐบาลสร้างความรู้สึกร่วมกันไม่สำเร็จ ประชาชนไม่รู้สึกว่ารัฐบาลเป็นของตนก็จะหาเรื่องขับไล่ รัฐบาลรู้สึกประชาชนส่วนหนึ่งเป็นของตน อีกส่วนไม่ใช่ของตน ก็จะเกิดสองมาตรฐาน ทำให้ความแตกแยกเกิดขึ้นง่าย สิ่งสำคัญคือเราต้องหาเหตุของการเกิดทุกข์ หากเราไม่เห็นโทษของไฟยังบินเข้าไปเล่น ตัวหลังแทนที่จะหยุดก็ยังจะบินไปเล่นไฟให้ตัวมอดไหม้เป็นกองๆ แบบนี้คือยังไม่เข้าใจเหตุแห่งทุกข์ ก็จะปรองดองไม่สำเร็จ เชื่อว่าการปรองดองครั้งนี้บรรยากาศน่าจะดีกว่าทุกครั้ง ถ้าไม่สำเร็จครั้งนี้ก็ชาติหน้าตอนบ่ายๆ หรืออย่างน้อยที่สุดการสร้างความปรองดองครั้งนี้ คงทำให้ทุกฝ่ายได้เห็นบทเรียนได้ศึกษาเรียนรู้ปรับท่าที และถ้าเราเล่นกันตามกติกาไม่เล่นกันบนถนนก็เชื่อว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นยาก 

                                      

            ด้าน นางธิดา กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยรุนแรงร้าวลึก สะท้อนให้เห็นหลายอย่าง เช่น การที่เราพัฒนาเฉพาะด้านวัตถุ เทคโนโลยี แต่ความรู้ ศีลธรรม ไม่ได้พัฒนาไปด้วย ทำให้คนขาดเหตุผล อีกทั้งสะท้อนว่าการเมืองในประเทศไทยไม่ได้พัฒนาให้ดีขึ้น วัฏจักรของปัญหาก็เกิดขึ้นเหมือนเดิม เมื่อมีปัญหามีรัฐประหาร เท่าที่ดูคำถาม 10 ประการ ของรัฐบาล และวาทกรรมต่างๆ เหมือนรัฐบาลยังไม่เข้าใจว่าทุกข์ของประเทศ และประชาชนคืออะไร ยังไม่มีการสร้างบรรยากาศที่เหมาะต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้ง เพราะคำถาม10 ข้อ เป็นคำถามเพื่อหาผล แต่ไม่ได้หาเหตุแห่งปัญหา 

แชร์