บุกรุกป้อมมหากาฬทำชาติสูญปีละ 19 ล้านบาท

การที่พื้นที่ป้อมมหากาฬไม่ได้ทำเป็นสวนสาธารณะเสียทีเพราะมีคนมาครอบครองไปใช้ส่วนตัวทำให้สังคมเสียหายเป็นเงินเท่าไหร่บ้าง ใครรู้บ้าง และที่สำคัญใครจะเป็นผู้ชดใช้ http://winne.ws/n13986

935 ผู้เข้าชม

บุกรุกป้อมมหากาฬทำชาติสูญปีละ 19 ล้านบาท

          การที่พื้นที่ป้อมมหากาฬไม่ได้ทำเป็นสวนสาธารณะเสียทีเพราะมีคนมาครอบครองไปใช้ส่วนตัวทำให้สังคมเสียหายเป็นเงินเท่าไหร่บ้าง ใครรู้บ้าง และที่สำคัญใครจะเป็นผู้ชดใช้
          ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ประเมินไว้ว่าหากมีสวนสาธารณะป้อมมหากาฬก็อาจเทียบได้กับสวนสันติชัยปราการ (http://bit.ly/2cxLiOt) บริเวณป้อมพระสุเมรุซึ่งเป็นสวนสาธารณะระดับชุมชนเมือง บนพื้นที่ประมาณ 8ไร่เศษ บริเวณโดยรอบป้อมพระสุเมรุซึ่งตั้งอยู่ที่ช่วงปลายถนนพระอาทิตย์ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาตรงปากคลองบางลำพู
          สวนแห่งนี้จัดสร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลสมัย เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6รอบของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 5ธันวาคม พ.ศ. 2542 โดยภายในบริเวณสวนมี พระที่นั่งสันติชัยปราการที่มีตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติมาประดับไว้ พร้อมกับท่ารับเสด็จขึ้นลงเรือพระที่นั่งเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นที่จัดพระราชประเพณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับแม่น้ำเจ้าพระยา
          สวนสาธารณะสันติชัยปราการนับเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์และโบราณสถานนับเป็นนันทนสถานเอนกประสงค์ที่ได้ประโยชน์ใช้สอยทั้งด้านการพักผ่อนหย่อนใจการศึกษา และการอนุรักษ์ (ป้อมพระสุเมรุ)พื้นที่โดยรอยได้รับการออกแบบให้สามารถใช้เป็นที่ออกกำลังกายได้หลายประเภท เช่นการเต้นแอโรบิค รำมวยจีน สามารถเป็นสถานที่จัดงานของท้องถิ่นและรัฐบาล เช่นพิธีต้อนรับแขกจากต่างประเทศ รวมทั้งด้านวัฒนธรรม เช่น พิธีลอยกระทง สงกรานต์เป็นต้น
          ในการวิเคราะห์มูลค่า ตั้งอยู่บนสมมติฐานและตัวเลขดังนี้:
           1. สวนสันติชัยปราการนี้มีผู้เข้าใช้สอยวันละ2,000 ราย (http://bit.ly/2cMpblp) ดังนั้นจึงสมมติให้ในกรณีสวนสาธารณะ"ป้อมมหากาฬ" ซึ่งมีขนาด 6 ไร่เศษน่าจะมีผู้เข้าใช้สอยในขนาดใกล้เคียงกัน แต่ลดลงไปสัก 20%เหลือ 1,600 คนเพราะในบริเวณนี้รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงมากมายเช่นกัน
           2. ในกรณีไม่มีสวนสาธารณะนี้อาจจัดให้ไปใช้บริการสถานออกกำลังกาย Fitness First ซึ่งเสียเงินเดือนละ2,400 บาท หรือวันละ 80บาท อย่างไรก็ตามสถานออกกำลังกายนี้มีเครื่องออกกำลังกายมากมายแต่ในกรณีป้อมมหากาฬ ไม่มีบริการส่วนนี้ แต่มีแหล่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในกรณีอาจให้ค่าใช้จ่ายลดลง 30% และมีต้นทุนการดำเนินการอีก 30%รวม ค่าใช้จ่ายสุทธิคนละ 32 บาทต่อวัน (80% x (1-60%))
           3. ดังนั้นในกรณีคนมาใช้วันละ1,600 คน ณ ค่าใช้จ่ายหรือรายได้คนละ 32บาทต่อวัน ก็เท่ากับวันละ 51,200 บาท หรือปีละ 18.69ล้านบาท หากถูกผู้บุกรุกครอบครองไปใช้อีก 10 ปีณ อัตราดอกเบี้ย 5% ก็เท่ากับว่าส่วนรวมต้องสูญเงินไป 144.32ล้านบาท ตามสูตร (1-(1/(1+i)n))/i โดยที่ i คืออัตราดอกเบี้ย5% ส่วน n คือระยะเวลา10 ปีนั่นเอง
           4. นี่ยังไม่รวมรายได้ที่จะได้จากการให้มีการเช่าที่ขายของเพื่อหารายได้มาบำรุงและพัฒนาสาธารณูปโภคและเผื่อมีส่วนเหลือไปใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญเพื่อประโยชน์ของประชาชนและส่วนรวมในวันหน้า
          ดังนั้นรัฐบาลโดยกรุงเทพมหานครจึงควรเร่งย้ายผู้บุกรุกซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดให้ออกจากพื้นที่โดยอาจจัดหาที่อยู่อาศัยโดยไปเช่าบ้านให้ในบริเวณใกล้เคียงและอนุญาตให้คงสถานะ "จน" ต่อไปอีก 10 ปีแต่ไม่อนุญาตให้ประกาศตน "จน" ตลอดอายุขัยหรือ "จน"ต่อไปหลายชั่วรุ่นโดยไม่ช่วยเหลือตัวเอง
          ทุกอย่างมีต้นทุน ไม่ใช่ของฟรีเปล่าๆ ปลี้ๆดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าในแต่ละปีการที่ไม่มีสวนสาธารณะป้อมมหากาฬสังคมต้องสูญเสียโอกาสไปถึง 19 ล้านบาทต่อปี ในระยะเวลา 10 ปีก็เป็นเงิน144 ล้านบาท เพียงเพราะการ "ดื้อแพ่ง"ของผู้บุกรุกไม่กี่หลังคาเรือน การเอาเปรียบสังคมเป็นสิ่งที่น่าละอายนัก
ที่มา:http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1876.htm

แชร์