ใช้นิติศาสตร์พิฆาตสังฆมณฑล

เหล่าฆราวาสมีการกำหนดกติกาให้คนไทยทั้งประเทศใช้ร่วมกัน ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ประกาศ คำสั่ง ข้อบังคับ ต่างๆ เหล่านี้ โดยมีความสำคัญลดหลั่นกันไป และบอกว่า คนไทยทุกคน ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย http://winne.ws/n14063

861 ผู้เข้าชม

ใช้นิติศาสตร์ พิฆาตสังฆมณฑล  

ตอน รึฆราวาส ต้องการปกครองพระ ???

...........................

@@@ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ทรงประกาศให้ประเทศไทย ประกอบด้วย 3 สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

โดยเฉพาะศาสนา พระองค์ทรงหมายเอาพระรัตนตรัย ซึ่งก็คือพระพุทธศาสนาเท่านั้น และยังทรงใช้ธงไตรรงค์ ( 3 สี) เป็นสัญลักษณ์ของ 3 สถาบันหลัก นั่นเอง และยังคงใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น ถ้ากล่าวถึงพระพุทธศาสนา ก็ต้องหมายถึงเสาหลักของประเทศไทยเสาหนึ่งเลยทีเดียว

ส่วนสถาบันชาติ ก็มีแยกออกเป็น 3 ฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ  มีลักษณะอิสระต่อกัน ไม่ก้าวล่วงกัน

.............

@@@ เหล่าฆราวาสมีการกำหนดกติกาให้คนไทยทั้งประเทศใช้ร่วมกัน ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ประกาศ คำสั่ง ข้อบังคับ  ต่างๆ เหล่านี้ โดยมีความสำคัญลดหลั่นกันไป และบอกว่า คนไทยทุกคน ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย

...............

@@@ ที่นี่มากล่าวเฉพาะพระพุทธศาสนา

……………

รัฐธรรมนูญทุกฉบับบังคับให้พระเป็นแค่พลเมืองชั้น 2 และพลเมืองชั้น 2 ของประเทศประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ

1.พระภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช

2.อยู่ระหว่างการเพิกถอนการเลือกตั้ง ไม่ว่าคดีนั้นจะสิ้นสุดแล้วหรือไม่

3.ต้องคุมขังอยู่ โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

4.วิกลจริต จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

................

ที่บอกว่า ทั้ง 4 กลุ่มเป็นพลเมืองชั้น 2 เพราะถูกตัดสิทธิไม่ให้เลือกตั้ง ไม่ให้เป็นผู้สมัครลงเลือกตั้ง ไม่ให้มีสิทธิเสนอกฎหมาย ไม่ให้มีสิทธิคัดค้านกฎหมาย ไม่ให้มีสิทธิถอดถอนนักการเมือง

...................

ศาสนาในประเทศไทย มี 5 ศาสนา คือ พุทธ คริตส์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และซิกซ์

ใน 4 กลุ่มที่กลายเป็นพลเมืองชั้น 2 นี้ มีระบุไว้เฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นรอดหมด แต่ตัวแทนพระพุทธศาสนาโดนหมดแม้กระทั่งแม่ชี 

ดังนั้นในทางกฎหมาย พระ/สามเณร/แม่ชี  จึงมีสถานะทางกฎหมายเท่ากับคนวิกลจริต จิตฟั่นเฟือน

..............

ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ทรงยกย่องพระพุทธศาสนาไว้อย่างสูง คือ 1 ใน 3 เสาหลักของประเทศ

แต่รัฐธรรมนูญ กลับบังคับให้พระเป็นแค่พลเมืองชั้น 2 ซึ่งมีสถานะทางกฎหมายเท่ากับคนวิกลจริต จิตฟั่นเฟือน

.............

พอพระอยากใช้สิทธิต่างๆ ก็โดนว่า พระไม่มีสิทธิใดๆ  จึงไม่สามารถทำได้

แต่พอมีการเกณฑ์ทหาร  ก็บังคับให้พระที่ครบกำหนดเกณฑ์ ต้องเข้าไปเกณฑ์ทหารด้วย ถ้าจับได้ใบแดงก็ต้องลาสิกขา

...........

นอกจากพระมีสถานะเป็นพลเมืองชั้น 2 แล้ว  วันนี้มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งมาพูดกรอกหูคนไทยว่า  พระต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน 

พอพูดเสร็จก็พยายามเสนอกฎหมายต่างๆ นานา โดยใช้วาทกรรมว่า จะดูแลปกป้องคุ้มครองพระ

.............

คำว่า ดูแล ปกป้อง คุ้มครอง ถ้าเราตีความหมาย ควรจะมีลักษณะของการ ยกย่อง เชิดชู ไม่ให้ใครมาเล่นงานได้ เพราะแม้แต่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ยังทรงยกย่องพระพุทธศาสนาว่าเป็น 1 ใน 3 สถาบันหลัก

............

@@@ พอมาดูกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระ เพื่อย้อนไปดูว่า การที่ฆราวาสต้องการดูแลปกป้องคุ้มครอง จะเป็นการยกย่อง เชิดชู พระพุทธศาสนาจริงไหม

………….

@@@ กฎหมายที่ออกมาบังคับใช้แล้ว

รัฐธรรมนูญ บังคับให้พระเป็นพลเมืองชั้น 2 มีสถานะทางกฎหมายเทียบเท่า คนวิกลจริต จิตฟั่นเฟือน ก็ไม่มีลักษณะของการยกย่อง เชิดชูเลยสักนิด

การเกณฑ์ทหาร พระก็ไม่ได้รับการยกเว้น ถ้าถึงเกณฑ์จับได้ใบแดง ก็ต้องลาสิกขา  อันนี้ก็ไม่มีลักษณะของการยกย่อง เชิดชูเลยสักนิด (แต่ข้อนี้ผมยอมรับได้ เพราะถ้ายกเว้นอาจเป็นข้ออ้างให้คนหนีมาบวชเพื่อไม่ต้องเกณฑ์ทหาร)

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์  ฆราวาส เขียนมาบังคับให้พระปฏิบัติตามนั้น แล้วก็มีการแก้กันหลายรอบ ซึ่งฆราวาส นึกอยากแก้ตรงไหน ก็แก้เพื่อสนองความรู้สึกความต้องการของเหล่าฆราวาส โดยเฉพาะการแก้รอบสุดท้าย มีการเสนอเข้าสภาและพิจารณาอย่างรวดเร็ว 3 วาระรวด โดยไม่มีการถามความเห็นของคณะสงฆ์เลย ที่สำคัญ เรื่องนี้ เป็นเรื่องพระพุทธศาสนา สนช.ที่เป็นศาสนาอื่น ควรที่จะงดออกเสียง แต่กลับสนับสนุนกันอย่างไม่สนใจความรู้สึกของพระเลยแม้แต่นิด   อันนี้ นอกจากจะไม่เป็นการเชิดชู พระแล้ว ยังพยายาม ออกกฎหมายบีบบังคับให้พระปฏิบัติตามฆราวาส ก็เท่ากับว่า ฆราวาส ต้องการปกครองพระเช่นกัน 

................

@@@ กฎหมายที่พยายามเสนอเพื่อออกมาบังคับใช้

@@@ ร่าง พรบ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งมหาเถรสมาคม ก็ลงมติตามข่าวที่ปรากฏตามสื่อว่า ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นกฎหมายที่ให้ฆราวาสมาปกครองพระ และนายกฯ ออกระเบียบหรือประกาศต่างๆ เพื่อให้ปฏิบัติตามนี้  อันนี้ นอกจากจะไม่เป็นการเชิดชู พระแล้ว ยังพยายาม ออกกฎหมายบีบบังคับให้พระปฏิบัติตามฆราวาส ก็เท่ากับว่า ฆราวาส ต้องการปกครองพระเช่นกัน

@@@ ร่าง พรบ.จัดการทรัพย์สินวัดและพระภิกษุ ก็ยิ่งชัดเจนหนักเข้าไปอีกว่า ฆราวาส ต้องการออกกฎหมายมา เพื่อบังคับให้พระปฏิบัติตาม อันนี้ นอกจากจะไม่เป็นการเชิดชู พระแล้ว ยังพยายาม ออกกฎหมายบีบบังคับให้พระปฏิบัติตามฆราวาส ก็เท่ากับว่า ฆราวาส ต้องการปกครองพระเช่นกัน

@@@ ร่าง พรบ. สภาพุทธบริษัทแห่งประเทศไทย ที่ฟังแล้วดูดี แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกๆ จะเห็นว่า ที่มาของคณะกรรมการชุดนี้ ให้พระทั้ง 2 นิกาย และมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง เสนอผู้ไปเป็นกรรมการไม่กี่คน ส่วนที่เหลือ ให้ฆราวาสในตำแหน่งต่างๆ เลือกคนมาเป็นกรรมการ แถมมีระบุ ให้มีเพศหญิงและชายในจำนวนที่เท่าๆ กัน ทั้งที่ทำเรื่องพระควรจะเน้นผู้ชาย กลับไปเสนอแบบนั้น ถึงแม้จะอ้างวาทะกรรมว่า แล้วแต่คณะกรรมการสรรหาเป็นผู้เลือก แต่เมื่อคณะกรรมการสรรหา เป็นฆราวาส ก็อาจเสนอแต่ฆราวาสทั้งหญิงชาย มาเป็นกรรมการ ทั้งที่ควรเสนอแต่พระ หรือบุคคลที่พระให้การยอมรับเท่านั้น มาเป็นกรรมการ ร่าง พรบ.ตัวนี้ ถ้าประกาศใช้ นอกจากจะไม่ยกย่องเชิดชูแล้ว  กลายเป็นเขียนให้เหล่าฆราวาส มาปกครองพระอย่างสมบูรณ์ เพราะมีเสียงมากกว่าจำนวนมาก

@@@ ข้อเสนอห้ามมหาวิทยาลัยสงฆ์ เปิดสอนวิชาทางโลก โดยจะให้สอนเฉพาะพระพุทธศาสนาอย่างเดียวล้วนๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ที่มีพระราชประสงค์ให้พระได้ศึกษาทางโลก จึงได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งนี้ขึ้นมา  

ความจริงแล้ว มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่งควรได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำไป เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้ สอนให้คนมีศีลธรรม จริยธรรม สอนให้ผู้ที่เรียนเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าทางด้านศีลธรรมต่อสังคม ไม่ว่า จะดำรงเพศเป็นสมณะ ก็เป็นสมณะที่ทรงคุณค่า แม้จะลาสิกขาไป ก็กลายไปเป็นฆราวาส ที่มีศีลธรรม

หากประสงค์จะให้เป็นตามที่นักการเมืองบางคนเสนอ  ควรมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์เพิ่มขึ้นมาอีก 1-2 มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยแห่งใหม่นี้ จะสอนเรื่องพระธรรมวินัย อย่างเดียวเท่านั้น เพื่อให้เป็นทางเลือกของผู้ที่ประสงค์จะเข้าศึกษา ถ้าทำเช่นนี้ มหาวิทยาลัยเดิม ก็เดินหน้าต่อ ผู้ที่เข้าอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง ก็จะกลายเป็นสมณะที่ทรงคุณค่าอย่างสูง

@@@ รวมถึงข้อเสนอก่อนหน้าที่ต้องการให้เก็บภาษีพระ หรือห้ามพระจับเงิน หรือให้เจ้าอาวาสมีวาระคราวละ 5 ปี หรือการประกาศอย่างอหังการว่า  พระเอาเปรียบสังคม กินฟรี เรียนฟรี อยู่ฟรี 

………………

อีกประเด็น

@@@ องค์กรที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาที่กฎหมายรับรอง

1.มหาเถรสมาคม (มส.)  มีสถานะ บริหารดูแล จัดการพระทั้งสังฆมณฑล 

2.สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการของ มหาเถรสมาคม นั่นย่อมหมายถึงมีสถานะเป็นผู้รับใช้มหาเถระสมาคมและองค์กรปกครองสงฆ์

วันนี้ มีการแต่งตั้ง ผอ.คนใหม่ ซึ่งดูแล้วไม่มีความเข้าใจในสถานะของตนเอง เพราะบทบาทที่แสดงออกมาเป็นการออกคำสั่ง บังคับให้พระปฏิบัติตาม ซึ่งขัดต่อหลักว่าต้องเป็นผู้รับใช้

@@@ กรณีนี้ถ้าจะเทียบ เสมือนหนึ่งว่าปลัดกระทรวง กำลังจะออกคำสั่งบังคับให้รัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี เลขารัฐมนตรี  ต้องเชื่อฟังคำสั่งของ ปลัดกระทรวง  ซึ่งดูแลมันก็ขัดกันในหลักการอย่างมาก

.......................

@@@ เมื่อพิจารณาทั้งกฎหมายเก่าที่ประกาศบังคับใช้แล้ว  และร่าง พรบ.ต่างๆ รวมถึงข้อเสนออื่นๆ   แม้จะใช้วาทกรรมสวยหรูว่า จะดูแลอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ก็ตาม

แต่งานนี้ผมขอสรุปได้อย่างเดียวเท่านั้นว่า

“ฆราวาส ต้องการปกครองพระ”

.............


ขอบคุณเจ้าของบทความ

นายกรณ์   มีดี

เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย

นายกสมาคมทางสายกลาง

https://m.facebook.com/Mr.Korn.Meedee/

เฉพาะเรื่องนี้

https://www.facebook.com/Mr.Korn.Meedee/posts/765927240233034:0

นายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย นายกสมาคมทางสายกลาง

ใช้นิติศาสตร์พิฆาตสังฆมณฑล
แชร์