10 ข้อวิพากษ์ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง:ปาหี่-กำมะลอ

เมื่อวานนี้ (21 มีนาคม 2560) ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อไปยังสภาต่อไปดร.โสภณ ยืนยันไม่ต้องห่วงภาษีนี้ ไม่มีผลใด ๆ เป็นแค่ภาษีปาหี่และกำมะลอห่วงรัฐขึ้น VAT 8% ดีกว่า http://winne.ws/n14137

514 ผู้เข้าชม

10 ข้อวิพากษ์ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง:ปาหี่-กำมะลอ

          เมื่อวานนี้ (21 มีนาคม 2560) ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อไปยังสภาต่อไปดร.โสภณ ยืนยันไม่ต้องห่วงภาษีนี้ ไม่มีผลใด ๆ เป็นแค่ภาษีปาหี่และกำมะลอห่วงรัฐขึ้น VAT 8% ดีกว่า
          ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตทแอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้ให้ความเห็นต่อความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีต่อการออกพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่21 มีนาคม 2560 (http://bit.ly/2nQNXWM) ดังนี้:
           1.
ภาษีนี้ที่ว่าจะประกาศใช้ในปี2562 นั้น ยังไม่แน่ว่าจะได้ใช้เพราะยังต้องผ่านสภา และอาจจะแท้งกลางทางก็ได้ อาจเป็นเพียงการเล่นปาหี่อย่างหนึ่งสิ่งที่พึงระวังคือหากรัฐบาลไม่สามารถผ่านร่าง พรบ.นี้ ก็อาจขึ้นภาษี VAT เป็น8%ซึ่งส่งผลต่อประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งที่มีทรัพย์สินหรือไม่มีก็ตาม
           2.
ที่น่าตลกก็คือการกำหนดให้เก็บภาษีสำหรับบ้านราคา 50ล้านบาทขึ้นไป ข้อนี้ ดร.โสภณ ได้เคยวิเคราะห์ไว้แล้ว (http://bit.ly/1UsxJen)ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีเพียง 1,351หน่วยเท่านั้น ถ้าทั่วประเทศก็คงไม่กี่พันหน่วย จะคุ้มค่าเก็บไหมนี่แสดงความเป็นปาหี่ของกฎหมายฉบับนี้คือจริงๆ ไม่อยากจะเก็บภาษีเลยไพล่ไปเก็บสำหรับบ้านตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป
           3.
ส่วนบ้านหลังที่2 แม้มีราคาไม่ถึง 50 ล้านก็จะเก็บนั้นตามระยะเวลาการออกกฎหมายนี้ คือให้มีการใช้ในปี 2562 ก็เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้ผู้มีบ้านมากกว่า1 หลังได้ผ่องถ่ายให้กับบุตรหลานหรือบุคคลอื่นไปก่อนเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงภาษี จึงทำให้กลายเป็น "อภินิหารทางกฎหมาย"ที่แม้ไทยจะมีกฎหมายนี้ในอนาคต แต่ก็เสมือนไม่มีกฎหมายใดๆเข้าทำนองนักกฎหมายศรีธนญชัยจริงๆ
           4.
กรณีที่ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ได้ลดเพดานการจัดเก็บภาษีสำหรับที่ดินเปล่าลงจาก 5%เป็น 2% ก็แสดงนัยชัดเจนว่า คนรวย ๆไม่ต้องการเสียภาษี แม้รัฐบาลและสภานี้จะไม่มีนักการเมืองแต่เขาก็ยังปกป้องคนรวยอยู่ดี นี่ก็ยังเป็นรัฐบาลและสภาของคนรวยในสมัยรัฐบาลและสภาที่ประชาชนเลือก ก็ยังต้องเกรงใจประชาชนมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป
           5.
อันที่จริงไม่ควรมีการลดหย่อนภาษีใดๆ เลย ดูในความเป็นจริง คนจน ๆ มีจักรยานยนต์เก่าๆ คันหนึ่งราคาประมาณ 30,000บาท ก็ยังต้องเสียภาษีปีละ 400 บาทหรือมากกว่า 1%ถ้าคนจนมีห้องชุดราคา 300,000 บาท ก็ต้องเสียภาษี 0.1%ก็เป็นเงินเพียง 300 บาท หรือเดือนละ 25บาท ถูกกว่าค่าจัดเก็บขยะเสียอีก การจัดเก็บภาษีถูกๆ จึงอาจไม่คุ้มค่าในการเก็บ
           6.
ที่รัฐบาลพยายามลดหย่อนการจัดเก็บภาษีโดยอ้างคนจนนั้นแท้จริง ก็เพื่อช่วยคนรวย เพราะถ้าคนจนต้องเสียภาษีถึง 1%เช่น มีห้องชุดราคา 300,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีปีละ 3,000บาท หรือเดือนละ 250 บาท ซึ่งก็พอ ๆกับการจ่ายค่าส่วนกลางเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่คนรวยที่มีทรัพย์ราคา 50,000,000บาท หากต้องเสียภาษี 1% เป็นเงิน 500,000บาท พวกเขาคงไม่ต้องการเสีย จึงทำให้ร่างกฎหมายกำมะลอฉบับนี้ออกมาแทบจะเหมือนไม่มีการเก็บภาษีใด ๆ เลย
           7.
ถ้ามีการเก็บภาษีที่ดินว่างเปล่าในอัตราสูงก็จะทำให้ประการแรกเจ้าของที่ดินต้องนำที่ดินมาพัฒนาทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทางหนึ่งประการที่สองทำให้ตลาดที่ดินมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพราะมีอุปทานที่ดินมากขึ้นราคาที่ดินไม่ถีบตัวสูงเว่อร์จนเกินไปชาวบ้านที่ซื้อบ้านและคอนโดก็จะได้รับประโยชน์ราคาบ้านและคอนโดก็จะไม่สูงขึ้นมากจนเกินไปเช่นกันประการที่สามมีการพัฒนาที่ดินว่างเปล่าใจกลางเมือง ก็จะทำให้การพัฒนาสู่นอกเมืองการบุกรุกที่ชนบทและเกษตรกรรมและพื้นที่สีเขียวก็จะน้อยลง ลดโลกร้อนอีกต่างหากและประการที่สี่ หากเมืองไม่ขยายออกสู่รอบนอกหนักหนักก็จะทำให้สาธารณูปโภคต่างๆเช่นไฟฟ้าประปาโทรศัพท์ขยายออกไปยังไม่สิ้นสุดนั่นเอง
           8.
โดยที่ภาษีนี้มีลักษณะกำมะลอและเล่นปาหี่จึงแทบไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาบ้านแต่อย่างใดถ้ามีผู้ใดอ้างขึ้นมาเพื่อขึ้นราคาบ้านและที่ดินขายให้กับผู้อื่นย่อมเป็นการอ้างที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงยิ่งกฎหมายนี้ยังไม่แน่ว่าจะผ่าน ก็ยิ่งเป็นการอ้างที่เลื่อนลอย
           9.
ในความเป็นจริงการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ จากที่ ดร.โสภณได้ประมาณการไว้ว่าบ้านมือสองที่ขายในตลาดมีมูลค่าปีละ 1,202,767ล้านบาทจากจำนวน 600,000 หน่วย (http://bit.ly/2mYQy3m)ก็เท่ากับเป็นเงินหน่วยละ 2ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาตลาด ราคาประเมินราชการอาจเป็นเงินเพียง 60%ของราคาตลาด หรือเท่ากับ 1.2 ล้านบาท จำนวนทั้งหมด 24ล้านหน่วย ก็เป็นเงิน 28.8 ล้านล้านบาท หากมีการเก็บภาษีที่ 0.1%ก็จะเป็นเงิน 28,000 ล้านบาท แต่หากเก็บเป็น 1%ก็จะได้เงินสูงถึง 280,000 ล้านบาท เงินจำนวนนี้บวกกับภาษีจากอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นสามารถใช้บริหารท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
           10.
การที่ท้องถิ่นจะมีเงินมากขึ้นในการบริหารท้องถิ่นก็จะทำให้ท้องถิ่นมีอิสรภาพทางการเงินและทางการเมือง เป็นประชาธิปไตยที่แท้ไม่ต้องถูกส่วนกลางครอบงำเช่นที่ผ่านมา ระบอบประชาธิปไตยก็จะได้รับการสถาปนาอย่างยั่งยืนไม่ใช่ขึ้นอยู่กับระบอบคณาธิปไตยจากส่วนกลางการให้ประชาชนท้องถิ่นดูแลผลประโยชน์ของตนเอง จึงเป็นสิ่งที่ชอบแล้ว
          โดยนัยนี้การขึ้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจึงอาจไม่เป็นจริงรัฐบาลจึงอาจใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นภาษี VAT เป็น8% ในที่สุด ทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าต่างจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เก็บเฉพาะผู้มีทรัพย์ และยิ่งมีทรัพย์มากภาระภาษีก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัวอันเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในสังคมนั่นเองแต่ถ้าไม่มีภาษีนี้ ความเหลื่อมล้ำก็จะไม่สิ้นสุด
          ร่วมกันวิพากษ์ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแบบปาหี่-กำมะลอนี้กันเถอะ
ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1886.htm

แชร์