ธนารักษ์ควรคิดให้ดีก่อนคิดสร้างบ้านพักผู้สูงอายุ

ธนารักษ์จะประสบความสำเร็จในการสร้างบ้านพักผู้สูงวัยหรือไม่หรือสังคมอาจครหาเรื่อง "เงินทอน"เป็นสิ่งที่ควรมีการศึกษาให้รอบคอบก่อนการดำเนินโครงการ ดร.โสภณ มีข้อเสนอแนะ http://winne.ws/n14929

477 ผู้เข้าชม

ธนารักษ์ควรคิดให้ดีก่อนคิดสร้างบ้านพักผู้สูงอายุ

           ธนารักษ์จะประสบความสำเร็จในการสร้างบ้านพักผู้สูงวัยหรือไม่หรือสังคมอาจครหาเรื่อง "เงินทอน"เป็นสิ่งที่ควรมีการศึกษาให้รอบคอบก่อนการดำเนินโครงการ ดร.โสภณ มีข้อเสนอแนะ
          ตามที่มีข่าวว่า "ธนารักษ์เร่งพัฒนาบ้านผู้สูงอายุ 5พื้นที่ 2 พันยูนิต" {1} มีสาระว่ากรมธนารักษ์ได้ลงนามกับโรงพยาบาลรามาธิบดีเพื่อพัฒนาที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ 72 ไร่ ที่อำเภอบางพลีจังหวัดสมุทรปราการไปแล้ว โดยจะมีที่พักอาศัย 1,000หน่วย มีขนาดห้อง 30-55 ตรม. ราคา 1.2ล้านบาท หรือขนาด 55 ตรม. ราคาไม่เกิน 2ล้านบาท โดยผู้มีสิทธิ์ซื้อจะต้องมีอายุตั้งแต่ 55ปีขึ้น และได้สิทธิ์อยู่อาศัยสูงสุด 30 ปี และมีค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เดือนละ 1-2 หมื่นบาท ซึ่งโครงการจะให้บริการตรวจเช็คสุขภาพ มีพยาบาลดูแลมีห้องออกกำลังกาย เป็นต้น โดยความเป็นอยู่เป็นระดับ 4ดาว นอกจากนี้กรมฯ ยังวางแผนจัดทำอีก 4 พื้นที่ใน 4จังหวัด คือ เชียงใหม่ (กับโรงพยาบาลสวนดอก) ประจวบคีรีขันธ์ นครนายก และชลบุรีคาดว่าจะมีที่พักอาศัยสำหรับคนชรา รวมกันไม่น้อยกว่า 2,000หน่วย
          กรณีนี้ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์เรียลเอสเตทแอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ให้ความเห็นต่อโครงการดังกล่าวว่าเป็นโครงการที่ดีมีหลักการที่จะช่วยเหลือผู้สูงอายุซึ่งจะมีมากขึ้นในสังคมไทยเพราะสังคมไทยเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงวัยด้วยมีสัดส่วนของประชากรสูงวัยที่มากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามจากการแถลงข่าวนี้ซึ่งพบในสื่อหลายฉบับปรากฏมีข้อพึงวิพากษ์เพื่อการพัฒนาโครงการที่จะเป็นประโยชน์ยิ่งต่อสังคมไทยดังนี้:
           1. ในการแถลงข่าวไม่ได้ระบุถึงอัตราผลตอบแทนในการลงทุนด้านเศรษฐกิจและด้านสังคมเลยโครงการนี้อาจไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการอย่างเหมาะสมเพราะอัตราผลตอบแทนทางสังคมและทางเศรษฐกิจนี้เป็นหัวใจที่จะชีว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่
           2. โครงการนี้ได้ประเมินค่าต้นทุนโครงการคือที่ดินไว้อย่างเหมาะสมหรือไม่เพียงใดเพราะหากทางราชการใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดปกติก็เท่ากับทางราชการนำสมบัติของแผ่นดินไปใช้อย่างไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้คนไทยรุ่นลูกหลานเสียโอกาสไป
           3. สำหรับต้นทุนค่าก่อสร้างอาคารซึ่งยังอาจไม่ได้มีการออกแบบในรายละเอียดไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ก็ได้ควรที่ทางราชการ จะมีการคำนวณค่าก่อสร้างโดยการถอดแบบก่อสร้างในรายละเอียดจึงจะสามารถต้นทุนที่แท้จริงได้
           4. โครงการนี้ได้มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือไม่อย่างไรจะส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบและสังคมโดยรวมอย่างไร เราจึงยังไม่สามารถประเมินได้ว่าโครงการนี้จะเป็นผลบวกหรือผลลบต่อสังคม
           5. การตั้งราคาขายสำหรับระยะเวลา30 ปีที่ประมาณตารางเมตรละ 30,000บาทเศษ จะมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร.ทางราชการควรแจกแจงเปรียบเทียบกับอุปทานในตลาดขณะนี้เพื่อให้สังคมมั่นใจได้ว่าโครงการนี้มีความเป็นไปได้อย่างแท้จริง
          6. การที่ผู้สูงอายุที่เข้าอยู่อาศัยต้องออกเงินเพิ่มเติมเดือนละไม่เกิน 20,000 บาทนั้นแสดงว่าผู้ใช้บริการหรือผู้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้ไม่ใช่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยแต่เป็นผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถช่วยตนเองได้ทางด้านการเงินอยู่แล้ว.ไม่จำเป็นที่รัฐบาลจะเข้าไปอุ้มชูช่วยเหลือรัฐบาลควรนำทรัพยากรที่มีไปช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาสหรือประชาชนคนเล็กคนน้อยในสังคมจะดีกว่านี้
           7. การที่ทางราชการแถลงว่าจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงใหม่ประจวบคีรีขันธ์และนครนายก อีกราว 2000 หน่วยข้อนี้จะเป็นเพียงการแถลงเพื่อให้ดูมีผลงานหรือไม่ โครงการใดๆที่แถลงสู่สังคมควรกอปรด้วยผลการศึกษาที่ชัดเจนเพื่อความมั่นใจของประชาชนเจ้าของประเทศทำราชการไม่ควรแถลงอะไรลอยๆ
           8. การแถลงโดยไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนยังอาจทำให้สังคมเข้าใจว่าโครงการนี้เป็นการพยายามก่อให้เกิดการใช้จ่ายผ่านการก่อสร้าง เพื่อหวัง"เงินทอน" จากการพัฒนานั่นเองการนี้จะทำให้เสียภาพพจน์โดยไม่จำเป็นหากทางราชการนำเสนอผลการศึกษาที่แน่ชัดไม่ได้พูดลอย ๆ
          ดร.โสภณ ให้ข้อเสนอแนะว่าแทนที่กรมธนารักษ์จะไปร่วมมือกับโรงพยาบาลของรัฐที่มีหน้าที่บริการประชาชนไม่ใช่หน้าที่หารายได้พิเศษ ควรร่วมมือกับภาคเอกชนโดยรัฐบาลออกค่าที่ดินตามราคาตลาด ไม่ใช่ราคาของทางราชการที่ต่ำมากๆกำไรที่ได้จากการทำเพื่อคนรวยหรือผู้ที่ไม่ได้ยากจนจะได้นำมาช่วยเหลือสังคมอีกต่อหนึ่ง รัฐบาลไม่ควรทำเอง หรือไปแข่งกับภาคเอกชนเลยเว้นแต่การแข่งกับเอกชนในการช่วยเหลือคนด้อยโอกาสหรือประชาชนคนเล็กคนน้อยที่ภาคเอกชนอาจไม่สามารถเอื้อมมือลงไปทำธุรกิจได้นั่นเอง
          การสร้างบ้านสำหรับผู้สูงอายุต้องทำเพื่อผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยไม่ใช่ไปเจือจุนคนที่ไม่จนหรือคนรวยอยู่แล้ว และไม่สร้างภาระต่อประเทศชาติในอนาคต
อ้างอิง
{1} มติชน 13 เมษายน 2560 www.matichon.co.th/news/528883
ที่มา:http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1918.htm

แชร์