วิทยาลัยธุรกิจอินซีดจากฝรั่งเศส เผยผลสำรวจการแข่งขันดึงดูดชาวต่างชาติที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในประเทศของแต่ละประเทศทั่วโลก พบว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ดึงดูดบุคลากรต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศได้ดีที่สุด รองลงมาคือ 2.สิงคโปร์, 3.อังกฤษ, 4.สหรัฐฯ, 5.สวีเดน, 6.ออสเตรเลีย, 7.ลักเซมเบิร์ก, 8. เดนามาร์ก, 9.ฟินแลนด์, 10.นอร์เวย์

            ขณะที่ในเอเชีย อันดับหนึ่งคือสิงคโปร์ ตามมาด้วย 2.ออสเตรเลีย, 3.นิวซีแลนด์, 4.ญี่ปุ่น, 5.มาเลเซีย, 6.เกาหลีใต้, 7.ฟิลิปปินส์, 8.จีน, 9.มองโกเลีย และไทยอันดับที่ 10 

             รายงานนี้พิจารณาจำนวนชาวต่างชาติที่มีการศึกษาในระดับดี รวมถึงระยะเวลาที่พวกเขาทำงานในแต่ละประเทศว่าอยู่นานหรือไม่ โดยประเทศที่ได้รับการจัดอันดับต้นๆ มักจะมีจุดเด่นร่วมกันคือ มีนโยบายการจ้างงานและสวัสดิการที่ยืดหยุ่น, ระบบการศึกษาดี และเทคโนโลยีทันสมัย และการที่สิงคโปร์ได้รับอันดับสูงที่สุดในเอเชีย ไม่ใช่เพราะมีระบบการศึกษาที่ดีเท่านั้น แต่เป็นเพราะอุตสาหกรรมและธุรกิจในสิงคโปร์สามารถปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเอื้อให้ชาวต่างชาติมาเปิดบริษัทและลงทุนในสิงคโปร์มากขึ้น นอกจากนี้สิงคโปร์ยังมีนโยบายเชิงรุกเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีความสามารถให้เข้ามาทำงานในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของสิงคโปร์ 

            ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในเอเชียอย่างญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดีเท่าไร เนื่องจากมีกฎหมายควบคุมชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศที่เข้มงวด ขณะที่ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดกลางหรือกำลังพัฒนากลับดึงดูดคนทำงานชาวต่างชาติได้ดีกว่า เพราะกฎหมายมีความยืดหยุ่นและมีวัฒนธรรมเปิดรับชาวต่างชาติให้เข้ามาทำงานมากกว่า

             ส่วนไทยมีนโยบายในลักษณะตั้งรับ คือเปิดให้ชาวต่างชาติที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในประเทศเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนและเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานมีฝีมือเฉพาะหน้า แต่ไม่ได้วางเป็นนโยบายเพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ  โดยไทยเน้นเรื่องการอำนวยความสะดวกให้กับแรงงานฝีมือต่างชาติ ในสาขาที่ขาดแคลน เช่น อาจารย์สอนภาษา ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีซึ่งข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวเมื่อปีที่แล้ว ระบุว่า ไทยมีแรงงานมีฝีมือต่างชาติ ประมาณสี่หมื่นกว่าคน กว่าครึ่งหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ที่เหลือมาจากประเทศอื่นๆ ในเอเชียเป็นหลัก เช่น จีน, อินเดีย, ไต้หวัน และเกาหลีใต้

ขอขอบคุณภาพจาก https://www.google.co.th

ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก http://news.voicetv.co.th

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ http://news.voicetv.co.th/world/482223.html