วิบากกรรมของคนฆ่ากบจำศีล ยังแรงขนาดนี้เลยหรือ ???

ผู้เขียนถือกำเนิดเกิดมาเป็นลูกชาวนา ชีวิตในเยาว์วัยเจริญเติบโตมา ในท่ามกลางกลิ่นโคลนสาบควาย และสายลมแสงแดด ผู้เขียนรับการหล่อหลอม และอบรมมาจากบิดามารดาที่เป็นชาวนาโดยสายเลือด http://winne.ws/n15010

2.1 พัน ผู้เข้าชม
วิบากกรรมของคนฆ่ากบจำศีล ยังแรงขนาดนี้เลยหรือ ???แหล่งภาพจาก www.xn--12c2brsdiekdc5c5ghbz39ala.com

ผู้เขียนถือกำเนิดเกิดมาเป็นลูกชาวนา ชีวิตในเยาว์วัยเจริญเติบโตมา ในท่ามกลางกลิ่นโคลนสาบควาย และสายลมแสงแดด ผู้เขียนรับการหล่อหลอม และอบรมมาจากบิดามารดาที่เป็นชาวนาโดยสายเลือด

โรงเรียนปิดเทอมใหญ่ในเดือนเมษา–พฤษภา เด็ก ๆ ที่เข้ามาเรียนในอำเภอ จะกลับบ้านกัน เด็กวัดจะทะยอยกลับไปเป็นกลุ่มๆ ใครมีความจำเป็นมากให้กลับก่อน ใครไม่มีธุระจำเป็นเท่าไร ค่อยกลับทีหลัง โดยมากพวกรุ่นพี่ ม.๕ ม.๖ จะกลับทีหลัง เพราะมีงานช่วยพระบ้าง ช่วยครูอาจารย์บ้าง และตนเองจะต้องเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อบ้าง ก็อยู่วัดต่อไปเป็นเดือนก็มีครับ

ผู้เขียนยังเป็นเด็กรุ่นน้องใหม่อยู่ กลับบ้านก่อนเลยละ ก็คิดถึงบ้านแทบแย่น่ะครับ คิดถึงคันเบ็ดอย่างจับใจ นี่เรียกว่า นิสัยการทำบาปกรรมยังไม่เหือดแห้งหายไป ปีนั้นผู้เขียนอยู่ ป.๖ จะขึ้น ป.๗ สอบเสร็จก็กลับบ้านเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย หาปลา หาปู ไปตามเรื่องตามราว

มีอยู่วันหนึ่ง พี่ชายเอาวัวไปหาฟืนในป่าที่อยู่ไกลบ้าน เราว่างเลยหาเรื่องชวนเพื่อนไปหาปลาหากบกัน เพื่อนรุ่นพี่บอกว่า ปลาหายาก ไปหากบกันดีกว่าหน้านี้ กบจำศีลอยู่ด้วย ถ้ามีโชคเราคงได้กินบ้าง อุปกรณ์ก็คือ เหลาไม้ไผ่แหลมๆ ยาวประมาณ ๑ เมตร เพื่อใช้แทงดินตามริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมีใบไม้ร่วงหล่นทับถมกันมากๆ

ตอนสาย ๆ ในวันนั้น ผู้เขียนกับเพื่อนก็ออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังลำคลองที่มีน้ำแห้งขอดลงไปมาก จนบางตอนขาดเป็นห้วงๆ ก็หลายตอน ริมฝั่งน้ำมีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นเป็นทิวแถว จึงทำให้ร่มเย็นเสียยิ่งนัก ผู้เขียนใช้ไม่ไผ่นั้นแทงลงไปตามชายฝั่งอย่างตั้งใจ เพราะจุดหมายของเราคือ เจ้ากบจำศีลที่อยู่ใต้ผิวดินอันมีใบไม้ทับถมปิดบังอำพรางตัวมันอย่างดีด้วย

ไม่นานนักเจ้ากบเดราะห์ร้ายชะตาขาดก็ถูกไม้ปลายแหลมของผู้เขียน มันร้องด่าวดิ้นติดไม้ขึ้นมาแล้ว สองขาของมันทะยานอากาศ มือน้อยๆ ของมันตะกุยตะกายว่ายแหวกลม อย่างน่าเวทนา แต่ผู้เขียนและเพื่อนต่างก็ลิงโลด กระโดดตัวลอยเพราะเจ้ากบตัวน้อยตัวเหลือง มันคืออาหารอันโอชะซะนี่กระไร เสียงร้องอันโหยหวนของมันก็ไม่สนใจ

วันนั้นได้กบ ๔ ตัว ขนาดไล่เลี่ยกัน แต่ทุกตัวจะมีสีเหลือง และสำรวจดูที่อยู่ของมันแล้ว บอกว่า กบจำศีลทั้งสิ้น ในช่วงที่มันจำศีล มันจะหยุดพัการหากินอะไรทั้งหมด แต่อนิจจา ผู้เขียนก็ใจไม้ใส้ระกำพอที่จะไปรังแกกบถึงถิ่นที่จำศีลของมันได้ลงคอ นี่แหละกรรมที่ทำกับกบจำศีล

ต่อมากาลเวลาผ่านพ้น จากวันนั้นมานานปี ผู้เขียนเลิกละการหาปู ปลา กบ อึ่ง อย่างสิ้นเชิง เพราะต้องเข้ารับการศึกษาต่อในตัวจังหวัด เลยไม่มีโอกาสออกท้องไรท้องนา จวบจนเรียนจบ แล้วได้บวชเป็นพระภิกษุในศาสนา ออกพรรษาแล้ว ผู้เขียนก็ไม่ยอมสึกไปเข้างานที่ไหน เพราะใจรักผ้าเหลือง ใคร่ต่อการปฏิบัติธรรมเป็นยิ่งนัก

ผู้เขียนได้เข้าปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ได้เห็นภาพนิมิตชีวิตของตนเองในเยาว์วัยที่กำลังกระตุกเบ็ด ฟาดปลาขึ้นมาบนบก ปลามันดิ้นทุรนทุราย ข้าพเจ้าน้ำตาไหลพรากสงสารปลา กรวดน้ำ อุทิศกุศลให้ปูปลาทุกตัวตน

แต่น่าแปลก กบจำศีลนั้นไม่มาปรากฎในนิมิตให้เห็นเลย และผู้เขียนก็ลืมมันจนหมดสิ้นแล้วด้วย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุอันใดสุดที่จะเดา

วิบากกรรมของคนฆ่ากบจำศีล ยังแรงขนาดนี้เลยหรือ ???แหล่งภาพจาก Google Sites

เดือนเมษายนต้นเดือน อากาศร้อนมากแล้ว ผู้เขียนปวดท้องและหาสาเหตุ ผู้เขียนคิดโทษอย่างเดียวคือ ไส้เลื่อน ที่เป็นมานานปีแล้ว ผู้เขียนอยากผ่าตัดไส้เลื่อนซะตอนเป็นพระนี่แหละ ดังนั้นจึงตัดสินใจไปหาหมอโรงพยาบาล บอกอาการที่ตนเองเป็น หมอจึงรับไว้และได้ทำการผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนจึงต้องเปลี่ยนชุดเป็นคนไข้ นอนรอผ่าตัด ๑ คืน ตอนที่ผ่าตัดแล้วนี่ซิครับ เขามัดมือมัดเท้าเอาไว้ในเตียงพยาบาล ก่อนที่ผู้เขียนจะรู้สึกตัว พอรู้สึกตัวเท่านั้น ผู้เขียนก็ดิ้น ไม่ผิดอะไรกับกบที่ถูกลอกหนังเอาเกลือใส่

คืนนั้นรู้สึกปวดแผลผ่าตัดอย่างบอกไม่ถูกเลย อยากจะพูดว่า ปวดทั่วสรรพางค์กายนั่นแหละ หรือถ้าจะพูดเล่นสำนวนก็ต้องพูดว่า เส้นใหญ่ ๙๐๐ เส้นน้อย ๙,๐๐๐ มันรวมกันเคลื่อนจากที่ ปวดแทบเอาชีวิตไม่รอดเลย แหละครับท่าน ตอนนั้นเองผู้เขียนคิดถึงกบจำศีลที่เคยได้พร่าชีวิตของมันมาเป็นอาหาร โอ ! กรรม ผลกรรมฆ่ากบมันตามมาให้ผลแก่ผู้เขียนอย่างสาสมเสียแล้วซิท่านเอ๋ย

น้ำตารินไหลพราก เพราะความปวดบาดแผล และเสียดายวัยเยาว์ที่ผู้เขียนคลุกเคล้าด้วยคาวปลา พร่าชีวิตกบจำศีล ในขณะนี้ผู้เขียนได้ใช้หนี้กรรมฆ่ากบแล้ว ถูกหมอวางยาสลบไป ๗ ชั่วโมง จึงรู้สึกตัว นี่ก็เรียกว่าตายผ่อนส่งหนี้กรรมกระมัง และแผลเป็นมันก็ยังจารึกเอาไว้จวบจนตัวตาย ไว้เป็นที่ระลึกน้อมนึกถึงบาปกรรม

ท่านทั้งหลายอย่าคิดว่ากรรมน้อยนิดจะไม่ให้ผล โปรดดูตัวอย่างผู้เขียนเถอะท่าน ผู้เขียนตริตรองดูแล้ว กรรมดีกรรมชั่วเป็นของเฉพาะตัวจริง ๆ ขอท่านทั้งหลาย โปรดสังวรระวังให้ดี ๆ และช่วยสอนลูกหลานอย่าให้พร่าผลาญชีวิตสัตว์เลย มันเป็นเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ยากลำบากเหมือนกับเรา มันรักชีวิตของมันเหมือนๆ กับ เรา จงอย่าได้คิดว่า ปู ปลา กบ อึ่ง มันเกิดมาเป็นอาหารของเรา ทำมันไปเถอะ ฆ่ามันไปเถอะ

ถ้าท่านยังคิดอยู่อย่างนั้น โอ ! สวรรค์ปิดประตูกั้นท่านเสียแล้ว แต่นรกซิกำลังเปิดประตูรอรับท่าน ไม่ผิดอะไรกับเงาที่อยู่หลังของท่าน โดยเฉพาะเงาบาปด้วยแล้ว มันน่ากลัวเสียนี่กระไร ท่านจะไม่มีวันสู้รบตบมือกับเงาบาปได้เลย ท่านไม่มีการขอร้อง เขาไม่ฟังคำวิงวอนของท่านหรอก

ในโลกมนุษย์เวลาท่านต้องโทษ ถูกอาญาแผ่นดิน ท่านยังขอลดหย่อนผ่อนโทษได้ แต่ในโลกวิญญาณ โลกของเวรกรรมแล้ว ท่านต้องรับกรรมนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีทางหลีกเลี่ยง กรรมย่อมให้ผลอย่างตรงไปตรงมา และสาสมใจจริง ๆ ชีวิตอันน้อยนิดของเรานี้ สมควรที่จะสร้างแต่คุณงามความดีใส่ตัวเอาไว้มากๆ เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัว และเป็นเสบียงอันยาวไกลในวัฏสงสารนี้ และท่านอย่าลืมคำกลอนเก่าๆ ที่คนแต่ก่อนใช้สอนใจให้ได้สติเสียล่ะ

“ถ้าบุญแรงแข่งบาปให้สาปสูญ บุญก็พูนเพิ่มให้ดังประสงค์ ถ้าบาปแรงแข่งบุญให้ลดลง บาปก็คงวิ่งเข้าเป็นเจ้างาน”

 หากท่านเดินถูกทาง ท่านจะพบแต่ความสว่าง สงบ ร่มเย็น ดับทุกข์เข็ญได้ทั้งตนเองและผู้อื่น สุขสดชื่นทั้งตื่นและหลับ พร้อมที่จะต้อนรับกับทุกสิ่ง เป็นเรื่องจริงที่ท่านพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเอง โดยการปฏิบัติธรรม

ที่มา:

จากหนังสือ “กรรมใดใครก่อ” เล่ม ๑ 

โดย...พีรพงษ์ 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.clipmass.com/story/41405

แชร์