จากชายหนุ่มยากจนเข็ญใจ สร้างบุญบารมีอย่างไร ต่อมาจึงได้เป็น "พระพุทธเจ้า" ?

การสร้างพระบารมีเริ่มแรกของพระพุทธเจ้า เริ่มจากเป็นบุรุษหนุ่มยากจนเข็ญใจ แบกมารดาว่ายน้ำเพราะเรือแตก แล้วตั้งความปรารถนาในใจ จากนั้นหลายชาติได้เกิดเป็นมานพหนุ่มนายช่างทอง ทำผิดศีลข้อ 3 ตกนรก จนชาติที่เกิดเป็นหญิงชาติสุดท้าย http://winne.ws/n15042

1.6 พัน ผู้เข้าชม

การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้านั้นจะแบ่งได้เป็น ๓ ระยะ คือ ๑. พระบารมีเริ่มแรก ๒. พระบารมีตอนกลาง ๓. พระบารมีตอนปลาย

การสร้างพระบารมีเริ่มแรกของพระพุทธเจ้านั้น ทรงปรารถนาพระพุทธภูมิ โดยตั้งดำริความปรารถนาไว้ในพระหฤทัยแต่ยังมิได้ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจาออกมา ต้องใช้เวลา นานถึง ๗ อสงไขย

กาลครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าได้ถือกำเนิดเป็นบุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจ

“ถ้าตัวเราถึงแก่ชีวิตพินาศขาดสูญลงไปในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่พร้อมกับ มารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรมา ด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระโพธิญาณ ขอเราพึงอาจนำสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายในวัฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงฝั่งโน้น คือ อมตมหานิพพาน”

จากชายหนุ่มยากจนเข็ญใจ สร้างบุญบารมีอย่างไร ต่อมาจึงได้เป็น "พระพุทธเจ้า" ?แหล่งภาพจาก วัดถ้ำพระบำเพ็ญบุญ

บุรุษหนุ่มนายช่างทอง

หลังจากที่ได้อุบัติเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์แล้ว ก็มาบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยอำนาจแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร พระโพธิสัตว์เจ้าได้ถือกำเนิดเป็นมานพหนุ่มที่ทรงรูปลักษณะงามล้ำเลิศในตระกูลช่างทอง ในวันหนึ่งได้มีคหบดีเศรษฐีได้มาว่าจ้างให้ไปทำเครื่องประดับให้แก่ธิดาสาวสวยซึ่งกำลังจะทำการวิวาห์ครั้นไปถึงคฤหาสน์ท่านเศรษฐีก็ได้ถามว่า “ดูกรนายช่างทองผู้เจริญ ถ้าท่านได้เห็นเพียงมือและเท้าเท่านั้น ท่านยังจะสามารถทำเครื่องประดับได้หรือไม่?

เมื่อช่างทองรับว่าทำได้ เศรษฐีจึงให้ธิดาของตนยื่นแต่มือและเท้ามาแสดงให้ปรากฏ ช่างทองหนุ่มก็กำหนดทำด้วยความชำนาญ

ฝ่ายธิดาเศรษฐีให้นึกสงสัยว่า “เหตุไฉนหนอ บิดาจึงมิให้เราปรากฏกายต่อหน้าช่างทอง ให้แสดงแต่เพียงมือและเท้าเท่านั้น” ครั้นคิดดังนั้นก็ลอบแอบดูตามช่องไม้ พอได้เห็นสิริรูปสมบัติของบุรุษหนุ่มช่างทองก็ให้เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่เป็นกำลัง คลุ้มคลั่งในดวงใจด้วยอำนาจราคะดำกฤษณา ธิดาสาวจึงมีจารึกอักษรเป็นใจความว่า

“ดูกรพ่อช่างทองผู้เป็นที่รัก! หากท่านมีจิตใจรักใคร่เราแล้ว ณ ด้านหลังเรือนใหญ่นี้มีต้นบุพชาติสูงใหญ่ต้นหนึ่ง ในค่ำคืนนี้ท่านจงมานั่งซุ่มคอยท่าเราอยู่บนพุ่มคบไม้นั้นเถิด ถึงราตรีกาลเราจะไปพบกับท่าน” บุรุษหนุ่มช่างทองครั้นได้รับจารึกนั้นก็กลับบ้านเตรียมตัวเพื่อจะพบกับนาง ในราตรีนั้นบุรุษช่างทองก็ไปนั่งคอยจนกระทั่งเผลอไผลหลับไป ฝ่ายธิดาเศรษฐีนั้นก็เฝ้าคอยจนบิดามารดาหลับเสียก่อนจึงจะแอบลงจากเรือนได้ แต่ก็เป็นเวลาดึกดื่นยิ่งนัก พอมาพบชายหนุ่มตามนัดหมายก็ได้เห็นชายหนุ่มหลับใหลมิยอมตื่น และลัทธิสมัยนั้นให้ถือกันว่า “ถ้าบุคคลหลับสนิทอยู่ ผู้ใดปลุกให้ลุกตื่นขึ้นแล้ว ผู้ปลุกนั้นย่อมมีบาป ตายไปต้องตกนรกหมกไหม้ตลอดกาลกัปหนึ่ง” เมื่อนางไม่สามารถปลุกช่างทองให้ตื่นขึ้นมาได้ นางจึงกลับไป

จากชายหนุ่มยากจนเข็ญใจ สร้างบุญบารมีอย่างไร ต่อมาจึงได้เป็น "พระพุทธเจ้า" ?

ในวันที่สองและสามนี้ก็เช่นกัน เมื่อบุรุษหนุ่มช่างทองได้ไปทำงานยังบ้านเศรษฐี ก็ได้รับอักษรจารึกนัดหมายนั้นอีกเช่นเคย ชายหนุ่มก็ได้ไปรอดังคืนที่ผ่านมารวมเป็นเวลา ๓ คืนด้วยกัน และชายหนุ่มก็หลับใหลไม่รู้ตื่น

ในวันรุ่งขึ้นถึงวันวิวาห์มงคล ฝ่ายบิดาเจ้าบ่าวก็ได้นำสมบัติมหาศาลหลายร้อยเล่มเกวียนและได้ฉลองกันอยู่สิ้นเป็นเวลาหนึ่งเดือนจึงเสร็จ บิดาเจ้าบ่าวก็พาบริวารกลับ

ฝ่ายบุรุษหนุ่มช่างทอง ก็ให้ครุ่นคิดมิตกด้วยเห็นว่าธิดานั้นควรจะเป็นของตนเพราะนางได้ผูกสมัครรักใคร่ที่ตน ตนจึงควรจะได้ครอบครองนาง คิดดังนั้นก็คิดหาอุบายโดยได้ทำเครื่องประดับประกอบไปด้วยแก้วมุกดาวิจิตรบรรจง แล้วนำไปถวายพระมหาอุปราชเจ้า

เมื่อพระมหาอุปราชได้รับของกำนัลอันเป็นที่ถูกใจ ก็ได้ตรัสถามนายช่างทอง ซึ่งก็ได้ขอร้องให้พระมหาอุปราชช่วยในอุบายของตนโดยให้ตนปลอมตัวเป็นกนิษฐาภคินีน้องหญิง แล้วก็ดำเนินอุบายไปยังบ้านท่านเศรษฐี เมื่อพระมหาอุปราชไปถึงก็ได้ตรัสถามท่านเศรษฐีว่า

“ปราสาทหลังใหม่นั่นเป็นของใครอีกเล่า” “เป็นปราสาทแห่งธิดาของข้าพระพุทธเจ้า” “ดีละ..บัดนี้พระบรมชนกดำรัสให้เราไปปราบโจรร้ายในชนบทประเทศ เราจะขอฝากน้องหญิงแห่งเราไว้ให้อยู่กับธิดาท่านเป็นการชั่วคราว” ท่านเศรษฐีจึงว่า “แต่ว่าธิดาเกล้ากระหม่อมนั้น นางได้สามีแล้ว” พระมหาอุปราชจึงตรัสว่า “จะเป็นไรไปเล่า ..ท่านจงให้ธิดาของท่านงดการอยู่ร่วมกับสามีชั่วคราวก่อน” “...ถ้ากระนั้นก็พอจะผ่อนผันรับพระธุระสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าข้า”นับแต่นั้นมานพหนุ่มช่างทองก็ได้อยู่ร่วมอภิรมย์กับธิดาเศรษฐีเป็นเวลานานสิ้นกำหนดสามเดือน

ด้วยพระโพธิสัตว์เจ้าพระบารมียังอ่อน จึงทำให้พระองค์ไม่สามารถต้านทานอำนาจแห่งกิเลสนั้นได้ ประกอบโทษล่วงเกินภรรยาผู้อื่น เป็นกายทุจริตเช่นนี้ ครั้นดับขันธ์สิ้นชีวิตในครั้งนั้นแล้ว ก็ต้องสืบปฏิสนธิไปบังเกิดในนรกหมกไหม้ ต้องได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายครั้งหลายหน เวียนวนอยู่ในภูมิอันต่ำช้านานนับเป็นเวลาได้ ๑๔ มหากัป

ด้วยอำนาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยู่ไม่เสื่อมคลายไปง่าย ๆ ครั้นจุติจากนรกแล้ว จึงต้องไปสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็น ลา เป็นเวลา ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงไปเกิดเป็น โค อีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็น คนพิการ ตาบอด หูหนวก อีกอย่างละ ๕๐๐ ชาติ แล้วก็ถือกำเนิดเป็น กะเทย อีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็น สตรี อีก ๕๐๐ ชาติ ชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นหญิงคือได้ถือกำเนิดเป็นเจ้าหญิงสุมิตตาเทวี 

เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี

จากชายหนุ่มยากจนเข็ญใจ สร้างบุญบารมีอย่างไร ต่อมาจึงได้เป็น "พระพุทธเจ้า" ?แหล่งภาพจาก เว็บไซต์พุทธะ

เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี

ในพระชาติสุดท้ายที่ ๕๐๐ ที่ถือกำเนิดเป็นสตรีนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าได้เกิดเป็นขัตติยกุมารีธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี

ในสมัยนั้น เป็นกัปที่ชื่อว่า “สารกัป” เพราะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุปปบุตามหาราช จึงทรงเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดากับพระโพธิสัตว์เจ้าของเราที่เป็นกนิษฐาภคินี คือ เจ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี

เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกครั้งนั้น ยังหมู่มนุษย์และอาณาประชาราษฏร์รวมทั้งพระพุทธบิดา ได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก

วันหนึ่งเป็นเวลาเย็นค่ำ เจ้าหญิงสุมิตตาซึ่งประทับอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีกิริยาอาการอันสงบเสงี่ยมน่าเลื่อมใสยิ่งนักได้มายืนบิณฑบาตอยู่ที่ประตูทวารวัง ก็ให้สงสัยยิ่งนัก จึงมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปกราบเรียนถามท่านถึงสิ่งที่ประสงค์จะได้ในการบิณฑบาตนั้น ซึ่งก็ได้คำตอบว่า พระผู้เป็นเจ้า ประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน เมื่อความทราบดังนั้นแล้วพระนางก็ทรงให้กราบอาราธนาพระคุณเจ้าท่านเพื่อสอบถามว่า

“พระผู้เป็นเจ้า ต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด” “ขอถวายพระพร พระราชธิดา อาตมภาพโคจรบิณฑบาตน้ำมันได้เป็นอันมากแล้ว ก็แต่งประทีปมากมายนักหนา ทำสักการบูชาแด่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกร สัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียังรุ่ง ครั้นเวลาสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมกัน ณ สำนักแห่งสมเด็จพระบรมครู อาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสงฆ์สาวก ทั้งหลายอีก ซึ่งอาตมาภาพเฝ้ากระทำอยู่เช่นนี้เสมอมา ขอถวายพระพร”

ครั้นพระราชธิดาได้ฟังดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสยินดีนักหนา จึงทรงถือเอาขันสุพรรณภาชน์ยุรยาตรไปตักตวงน้ำมันพันธ์ผักกาดจนเต็มขัน แล้วก็ทูนเหนือเศียรเกล้านำมา แล้วก็เกิดความคิดขึ้นว่า

จากชายหนุ่มยากจนเข็ญใจ สร้างบุญบารมีอย่างไร ต่อมาจึงได้เป็น "พระพุทธเจ้า" ?

“สมเด็จพระเชษฐาธิราชของเรา ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตว์โลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไป เบื้องหน้า ขอจงข้าพเจ้าได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่ออนุกูล แก่สัตว์โลกฉันนั้นเถิด”

เมื่อทรงอธิษฐานดังนั้นแล้ว ก็ทรงนำสุพรรณภาชน์น้ำมันนั้นลงจากพระเศียรเกล้า แล้วก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตั้งมโนปณิธานว่า

“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยเดชะอานิสงส์ผลเตลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัย ให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าสำเร็จดังมโนรถเถิด พระคุณเจ้าท่าน ขอพระ คุณเจ้าจงเอาน้ำมันนี้ไปบูชาองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธรรมิกราช ซึ่งตรัส เป็นองค์พระสัพพัญญูของข้าพเจ้าแล้ว ขอพระคุณท่านจงมีจิตการุณ ช่วย กราบทูลพระองค์ด้วยว่า พระราชบุตรีกนิษฐภคินีขององค์สมเด็จพระพุทธ เจ้านี้ ซึ่งมีนามว่า “สุมิตตากุมารี” มีกมลประสาทโสมนัสศรัทธายิ่งนัก ขอ น้อมพระเกศถวายอภิวาทพระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณ และขอตั้ง ปณิธานปรารถนาดังนี้ว่า “ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้เป็นปัจจัย นานไปใน อนาคต จึงขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้ทรงพระนาม ว่า “สิทธัตถะ” เหมือนด้วยชื่อแห่งน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด”

เมื่อพระคุณเจ้าได้รับน้ำมันมากมายนั้น ก็นำมาจุดประทีปบูชาให้สว่างกว่าเดิม ครั้นได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าปุราณทีปังกร ก็ได้กราบทูลว่า

“ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันภคินีของพระองค์ถวายมาและพระนางเจ้าได้ทำพุทธภูมิปณิธานว่าด้วยเดชะผลทานที่ถวายด้วยใจเลื่อมใสยิ่งนักนี้ ขอความปรารถนาได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “สิทธัตถะ” ในอนาคต

ข้าพระองค์ขอโอกาสกราบทูลถามว่า ความปรารถนาของพระนางเจ้าจักสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า”

“ดูกรภิกษุ! บัดนี้ สุมิตตาราชกุมารีกนิษฐภคินีของเรานั้น เจ้ายังตั้งอยู่ในอัตภาพ เป็นสตรีเพศ จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับคำลัทธยาเทศพยากรณ์ก่อน” “พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ ก็พระกนิษฐภคินีของพระองค์จักไม่มี โอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า”

ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าปุราณทีปังกรจึงทรงพิจาณาดูในอดีตภาคก็ทรงทราบว่า พระกนิษฐภคินีสุมิตตาเจ้าได้เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้แต่ครั้งเป็นมานพหนุ่มเข็ญใจแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรเป็นประเดิม เมื่อทรงพิจารณาส่วนอนาคตก็ทรงทราบว่า พระน้องนางเจ้าอาจสำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิปณิธานได้ จึงทรงมีพระพุทธฏีกาว่า

“ดูกรภิกษุ! กาลข้างหน้าในอนาคตนับแต่นี้ไปอีก ๑๖ อสงไขย เศษหนึ่งแสน มหากัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระทีปังกร ซึ่ง เป็นนามเสมอด้วยกับเรานี้ จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ในกาลนั้นแล สมเด็จ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าวพยากรณ์ซึ่งพระภคินีของเรา พระน้องนาง จักได้รับลัทธยาเทศในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”

เมื่อได้รับคำพุทธฏีกาดังนั้น พระคุณเจ้าก็ได้นำไปบอกแก่เจ้าหญิงสุมิตตาให้ทราบ ซึ่งในพระชาติ ที่ ๕๐๐ นี้ พระโพธิสัตว์เจ้าได้หมดวิบากกรรมจากการล่วงกาเมสุมิฉาจารนั้น ล่วงภรรยาผู้อื่น ได้ใช้กรรมโดยเกิดเป็นหญิงชาติสุดท้าย ในการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าในระยะเริ่มแรก

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.phuttha.com/พระพุทธเจ้า/ปฐมบทเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า/การสร้างพระบารมีเริ่มแรก

แชร์