ศิลาหินลึกลับหนักกว่า 4,000 ตัน ที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาในไซบีเรีย
ลักษณะการซ้อนทับของมันค่อนข้างมีความปราณีตอย่างมาก ซึ่งนักวิจัยคาดว่าพวกมันเกิดขึ้นมานานหลายพันปีแล้ว ความมหัศจรรย์ของมันคือ หินเหล่านี้ทับซ้อนกันสูงกว่า 40 เมตร http://winne.ws/n15284
ศิลาหินยักษ์ Gornaya Shoria
เรื่องราวลึกลับบนโลกใบนี้ ถูกค้นพบขึ้นทุกวัน และบางเรื่องราวก็ยังคงเป็นที่น่าฉงนจนไม่สามารถหาที่มาที่ไปของมันได้
อย่างเช่นศิลาหินยักษ์เหล่านี้ ที่มีชื่อเรียกว่า Gornaya Shoria
อนุเสาวรีย์หิน
กลุ่มนักวิจัยได้พบอนุเสาวรีย์หินซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า 1,000 ตัน ซ้อนทับกันอยู่ภายในหุบเขาแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของไซบีเรีย
ลักษณะการซ้อนทับของมันค่อนข้างมีความปราณีตอย่างมาก ซึ่งนักวิจัยคาดว่าพวกมันเกิดขึ้นมานานหลายพันปีแล้ว
หินบางก้อนมีขนาดใหญ่กว่าแท่งศิลาหินที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เรารู้จักกันถึง 2-3 เท่า น้ำหนักโดยรวมของมัน อยู่ที่ราวๆ 3,000 – 4,000 ตัน
ความคิดเห็นที่ต่างกัน
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เห็นเพียงแค่ภาพถ่าย แต่ไม่ได้ไปสัมผัสของจริงต่างกล่าวว่า มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการก่อตัวทางธรรมชาติ
พวกเขาเชื่อว่า มันเป็นผลมาจากกระบวนการกัดเซาะทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้องกับสภาพดินฟ้าอากาศที่รุนแรงภายในภูเขา Shoria
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักวิจัยที่ไปสัมผัสพื้นที่ดังกล่าวด้วยตัวเอง กลับมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป
ผู้ค้นพบศิลาหินยักษ์
Georgy Sidorov นักสำรวจผู้ค้นพบศิลาหินแห่งนี้เป็นคนแรกได้กล่าวไว้ว่า ศิลาหินขนาดใหญ่เหล่านี้ มีพื้นผิวที่เรียบแบน มีเหลี่ยมมุมที่ลงตัว และมีรูปทรงคล้ายกับการก่ออิฐแบบโบราณ
ความมหัศจรรย์ของมันคือ หินเหล่านี้ทับซ้อนกันสูงกว่า 40 เมตร
ถ้าหากนี่เป็นฝีมือของธรรมชาติก็ถือว่ามันค่อนข้างมหัศจรรย์มากๆ เพราะในบริเวณดังกล่าว ไม่มีร่องรอยการเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยาในลักษณะใกล้เคียงกับศิลาหินนี้มาก่อน
แต่ถ้ามันเป็นฝีมือของมนุษย์ นั่นจะยิ่งมหัศจรรย์ยิ่งกว่า และคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการขนย้ายและการก่อสร้างศิลาหินขนาดยักษ์เหล่านี้
สิ่งแปลกประหลาด
นอกจากนั้น ยังมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปสถานที่แห่งนี้ เมื่อนักธรณีวิทยาพบว่า เข็มทิศของพวกเขาเกิดผิดปกติ หันเหออกไปจากศิลาหินดังกล่าว อย่างไม่ทราบสาเหตุ
สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไร
จนถึงตอนนี้ เราก็ยังคงไม่ทราบว่า ศิลาหินยักษ์นี้เกิดจากฝีมือของมนุษย์หรือไม่ แล้วถ้าใช่ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่
แล้วถ้าไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ล่ะ มันอาจเป็นฝีมือของอารยธรรมโบราณที่สูงส่งกว่ามนุษย์ในปัจจุบันอย่างงั้นหรือ เรื่องราวลึกลับนี้ก็คงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
ที่มา : Starmanman / เว็บ starsmanman.blogspot.com