ตำนานบั้งไฟขอฝนต้นกำเนิดจาก พญาคันคาก(คางคก) และพญาแถนความเชื่อชาวอีสาน

พญาแถนถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเมืองมนุษย์ต้องการน้ำตอนไหน เมื่อไร พญาคันคากตอบว่า จะส่งสัญญาณให้พญานาคขึ้นมาบอกแล้วเล่นน้ำบนฟ้าจะให้พญานาคขี่บั้งไฟขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงแล้วมองเห็นบั้งไฟมีหัวพญานาค ก็ให้ไขน้ำทำฝนหล่นลงเมืองมนุษย์ทันที http://winne.ws/n15298

5.1 พัน ผู้เข้าชม

รูปปั้นพญาคันคากตำนานความเชื่อชาวไทยอีสาน

ตำนานบั้งไฟขอฝนต้นกำเนิดจาก พญาคันคาก(คางคก) และพญาแถนความเชื่อชาวอีสาน

พญาคันคาก(คางคก)

ดึกดำบรรพ์กาลเมื่อก่อน ก็เป็นดินเป็นหญ้าเป็นฟ้าเป็นแถน ผีแลคนเที่ยวไปมาหากันบ่ขาด คนกับสัตว์พูดจาปราศรัยไต่ถามรู้ความกันเป็นเรื่องปกติธรรมดา

บริเวณหุบเขาและทุ่งราบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง มีบ้านเมืองแว่นแคว้นหนึ่งตั้งอยู่ชื่อว่าเมืองชมพู แวดล้อมด้วยคูน้ำและคันดินเป็นปราการอยู่กลางทุ่งราบ ที่มีห้วยหนองคลองบึงบุ่งทามลำธารลานลาดพาดผ่าน

งานประเพณีบุญบั้งไฟเดือน 6 ชาวบ้านจะเข้าวัดทำบุญกัน

ตำนานบั้งไฟขอฝนต้นกำเนิดจาก พญาคันคาก(คางคก) และพญาแถนความเชื่อชาวอีสาน

พระราชาผู้ครองเมืองชมพูมีนามว่า พญาเอกราช มเหสีมีนามว่า นางสีดา

ข้าทาสบริวารกับไพร่บ้านพลเมืองของนางสีดาและพญาเอกราชมีมากมายนับไม่ถ้วน ล้วนเป็นชนเผ่าเหล่ากอหน่อเนื้อเชื้อพันธุ์ต่างๆ กัน แต่ตั้งหลักแหล่งแห่งหนปนอยู่ด้วยกันอย่างสดชื่นรื่นรมย์อุดมสมบูรณ์

ครานั้นครั้นนางสีดามเหสีมีครรภ์แก่ครบกำหนดคลอด ก็คลอดลูกเป็นคันคาก คือคางคกตัวผู้ ผิวพรรณขรุขระน่าเกลียดน่ากลัว

ขณะนางสีดาคลอดลูกนั้น ดินฟ้าอากาศเกิดอาเพศสะเทือนเลื่อนลั่นหวั่นไหว เมฆหมอกมัวมนบนท้องฟ้าบดบังทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ฟ้าฝนหล่นห่าลงมาเป็นอัศจรรย์ทั้งแผ่นดิน ผู้คนไพร่บ้านพลเมืองหลากใจไปทั้งสิ้นทุกผู้คน

พญาเอกราช ราชาเมืองชมพู ให้หมอผีหมอพรมาทำนายทายทักโชคชะตาราศีคันคากกุมารที่เพิ่งมีกำเนิดเกิดมา

หมอผีหมอพรทำนายคันคากกุมาร ว่าถึงจะมีรูปร่างเป็นคางคกสัตว์เดียรัจฉานก็อย่าได้ประมาท หมิ่นนินทาว่ากล่าวตำหนิติเตียน ขอให้บำรุงเลี้ยงเอี้ยงดูจงดี ต่อไปภายหน้าจะเป็นผู้มีบุญมีอำนาจวาสนา เป็นที่พึ่งพิงของบิดามารดาและข้าทาสบริวารตลอดถึงไพร่บ้านพลเมือง

นางสีดากับพญาเอกราชได้ยินคำทำนายของหมอผีหมอพรก็ดีอกดีใจ คลายทุกข์ร้อนผ่อนปรน จึงให้ข้าคนท้าวนางบ่าวไพร่บำรุงเลี้ยงคันคากลูกชายกายคางคกอย่างยกย่องทุกย่ำยาม

ครั้นคันคากกุมารคางคกจำเริญวัยขึ้นใหญ่เป็นหนุ่มเหน้า ก็เฝ้าคิดจะมีคู่ครองเป็นผัวเมียเหมือนผู้คนทั่วไป

นางสีดากับพญาเอกราชมิได้ขัดข้อง แต่ร้องขอให้รอไปจนกว่าคันคากจะมีร่างกายเป็นปุถุชนคนธรรมดาเหมือนสามัญมนุษย์สุดสมบูรณ์แล้วจะเสาะหานารีมีตระกูลให้เป็นเมีย

คันคากได้แต่ครุ่นคิดคร่ำครวญป่วนในหัวใจมิได้ขาดทุกคืนวัน ก็ตั้งจิตอธิษฐานต่อผีดงผีหมื่นถ้ำล้ำหมื่นผา ตลอดถึงศรีพรหมรักษ์ยักษกุมารไปจนพระอินทร์ปิ่นดาวดึงสา ขอจงดลบันดาลให้กายากลับกลายเป็นผู้คนปกติ จะได้มีคู่ครองตามต้องการ คันคากร่างคางคกเป็นผู้มีบุญบารมีแต่อดีตกาล คำอธิษฐานจึงล่วงรู้ถึงองค์อมรินทร์

ครั้นแล้ว พระอินทร์ก็เหินระเห็จจากเวหาดาวดึงส์ถึงเมืองชมพู เนรมิตคุ้มหลวงเรือนต้น พร้อมด้วยเครื่องต้นเครื่องตั่งตกแต่งเต็มพิกัดชัชวาลให้คันคากพร้อมกันนั้นเอง พระอินทร์ก็บันดาลให้คันคากร่างคางคกกลายเป็นคนหนุ่มรูปงาม อร่ามผิวเพียงสุพรรณแผ่นทองธรรมชาติ แล้วอุ้มสมนางอุดรกุรุทวีปที่เคยเป็นเมียขวัญมาแต่ชาติปางก่อน มานอนเคียงคู่อยู่ในคุ้มหลวงเรือนต้นนั้น เหตุอัศจรรย์ทั้งหมดเกิดขึ้นตอนกลางคืน มิได้มีใครรู้เห็น

ครั้นรุ่งขึ้นก็เป็นเรื่องร่ำลืออื้ออึงทั้งเมืองชมพู รู้หมดทั้งไพร่บ้านพลเมือง ด้วยพิศวงงงงันที่จู่ๆ ก็ได้เห็นคุ้มหลวงเรือนต้นตั้งตระหง่านกลางพระนคร

นางสีดากับพญาเอกราชตื่นเช้าขึ้นมา เห็นคุ้มหลวงเรือนต้นอยู่ในวังเวียงเคียงกันไปก็ประหลาดใจ ครั้นเดินไปดูใกล้ๆ จึงรู้ว่าคันคากกลายร่างเป็นโอรสรูปงามเหมือนสังข์ทองถอดรูปเงาะ มีนางเมืองเมียงามอยู่เคียงข้างอย่างเหมาะสม แล้วมาพนมหมากพนมมือกราบไหว้ ก็ชื่นชมยกย่องอย่างผ่องใสเป็นล้นพ้น

นางสีดากับพญาเอกราชถามลูกชาย ว่าเมื่อเจ้ายังเล็กมีรูปเป็นคันคากร่างเป็นคางคก เมื่อแปลงเป็นคนแล้วเอารูปร่างเดิมไปไว้เสียที่ไหนเล่า

ท้าวคันคากเมื่อเป็นคนก็ยกร่างเดิมที่กลายเป็นเกราะทองคำให้ดู เมื่อประจักษ์แก่ตาหมดทุกคน จึงต่างก็สรรเสริญบุญญาธิการท้าวคันคาก

หลังจากนั้นไม่นานนัก พญาเอกราชก็เวนราชสมบัติบ้านเมืองมอบให้ท้าวคันคากขึ้นเป็นราชาเมืองชมพู ยอยกขึ้นเป็นพญาคันคากอย่างสมบูรณ์

ตำนานบั้งไฟขอฝนต้นกำเนิดจาก พญาคันคาก(คางคก) และพญาแถนความเชื่อชาวอีสาน

นับแต่พญาคันคากเป็นราชาครองเมืองชมพู บรรดาบ้านเมืองบริวารใหญ่น้อยร้อยเอ็ดพระนคร ก็ล้วนมีความมั่งคั่งและมั่นคงขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงพร้อมใจกันบังคมก้มให้พญาคันคากถ้วนทั่วทุกหัวระแหงทุกแหล่งละหาน จนลืมส่งสการไหว้สาฟ้าแถนเหมือนแต่ก่อน แม้องค์อมรินทราธิราชก็อำนวยอวยพรให้พญาคันคาก

ผีฟ้าพญาแถนเป็นใหญ่อยู่เมืองแมนแดนสวรรค์ ครั้นเมื่อฝูงคนทั้งหลายไปภักดีต่อพญาคันคากหมดสิ้น ถึงเวลากินข้าวก็ไม่บอกไม่หมาย กินแลงกินงายก็ไม่บอกแก่แถน ได้กินชิ้นไม่ส่งขา ได้กินปลาก็ไม่ส่งรอยไม่ส่งก้างแก่แถน ผีฟ้าพญาแถนเลยโกรธ ก็ไม่ส่งน้ำฟ้าน้ำฝนหล่นลงมาให้บ้านเมืองแว่นแคว้นใหญ่น้อย จนเกิดความแห้งแล้งทุกหย่อมหญ้าสาหัส

พญาคันคากเห็นความทุกข์ยากของไพร่บ้านพลเมือง เพราะภัยแล้งติดต่อกันหลายขวบปี จึงขี่ยนต์อันเรืองฤทธิ์มุดลงไปเมืองบาดาลนาคผู้บันดาลน้ำเลี้ยงโลกได้ แล้วไต่ถามความนัยว่าเหตุไฉนถึงเกิดภัยแล้งแห้งน้ำมานานปี

พญานาคจอมบาดาลจึงบอกว่า เหตุเพราะผีฟ้าพญาแถนไม่ให้นาคทั้งหลายขึ้นไปเล่นน้ำบนสวรรค์เหมือนแต่ก่อน น้ำเลยไม่แตกฉานซ่านกระเซ็นกระเด็นกระดอนเป็นฝอยฝนหล่นลงมาเลี้ยงโลกมนุษย์ เมืองชมพูและบริวารเลยยากแค้นแสนกันดาร ด้วยแถนฟ้าเคืองรำคาญผู้คนที่ไม่บัตรพลีดีไหว้ มัวแต่ไปบังคมพญาคันคากนั้นแล

พญาคันคากรู้ความตามจริงก็ยิ่งโกรธพิโรธนัก สั่งให้พญานาคผู้เป็นเมืองบริวารทำทางถนนจากเมืองชมพูขึ้นไปเมืองแถนแดนสวรรค์ หมายจะจู่โจมโรมรันแถนฟ้าเพื่อหาน้ำมาเลี้ยงโลก

พญานาคพร้อมนาคบริวาร พากันแผ่พังพานพวนขนด แล้วขดขนขุนภูเขาทุกเขตแคว้นแดนมนุษย์เอามาต่อเข้าด้วยกัน ขณะนาคตั้งต่อภูเขาเป็นแกนแก่นกลาง พญาคันคากก็ให้บรรดาปลวกระดมขนดินมาถมพอกภูเขา ให้เป็นทางถนนด้นดั้นถึงเมืองแถนในทันที พญาคันคากให้บริวารประโคมตีเกราะเคาะไม้และโปงเปิง เป็นสัญญาณระดมสมกำลังไปรบศึกพิลึกมหึมาบนเมืองฟ้าเมืองแถน

ฝูงพญาครุฑยุดพญานาคมาพร้อมกัน ทั้งฝูงต่อฝูงแตนและมิ้ม ผึ้ง มอด มด ทั้งหมดทั้งนั้นมาพร้อมเพรียงด้วยสรรพสัตว์สารพัดเสือสิงห์กระทิงแรดในปัถพี

เมื่อสารพัดสัตว์มาชุมนุมสุมสามัคคีพร้อมกันแล้ว พญาคันคากก็คืนร่างเป็นคางคกขึ้นนั่งหลังช้าง แล้วสั่งให้เคลื่อนขบวนล้วนไพร่พลโยธีไปตามทางถนนหนเหินเดินเป็นหมวดหมู่แถวแนวตรงแน่วขึ้นไปเมืองแถนแดนสวรรค์ชั้นฟ้าพู้นแล

ฝ่ายเมืองแถนแดนสวรรค์ชั้นฟ้า แวดล้อมด้วยมหาสมุทรสุดลึกล้นและกว้างใหญ่ไพศาล มียอดเขาสัตบริภัณฑ์และเทือกทิวบริวารน้อยใหญ่ดุจปราการธรรมชาติดาษดา ปกคลุมด้วยหิมะมหาวารีเป็นเกล็ดแก้วมณีสีขาวเงินยวงระยิบระยับวับวาว ครั้นตะวันสีทองส่องสกาวก็ละลาย กลายเป็นอุทกชลธาร ไหลละล่องรวมมหาศาลนิจนิรันดร์ ถึงฤดูเดือนวันสมควรเวลา ฝูงนาคีและนาคาจากบาดาลทุกทวีป จะรุดรีบมาเล่นน้ำเป็นฟองฝอยมหึมาไปกระทบกระแทกกระทั่งฝั่งฝาที่เป็นขุนเขา น้ำนั้นก็แตกก็แยกย่อมเยาทยอยเป็นฝอยฝนหล่นไปเลี้ยงโลกมนุษย์และสัตว์เป็นอัตราประจำปี

จากตำนานพญาคันคากก่อเกิดประเพณีบุญบั้งไฟ จุดขอฝนจากพญาแถน

ตำนานบั้งไฟขอฝนต้นกำเนิดจาก พญาคันคาก(คางคก) และพญาแถนความเชื่อชาวอีสาน

ครั้นถึงเมืองแถนแดนสวรรค์ พญาคันคากรูปคางคกยกชี้ไปที่พญาแถนฟ้า แล้วตะโกนบอกว่าแถนทำผิดฮีตคองประเพณีที่สมควรนี่ นานหลายปีดีดักนับไม่ถ้วนที่แถนไม่แต่งน้ำลงไปโลกมนุษย์ ชมพูทวีปต้องแสนสุดจะล่มแล้งแห้งเหือดเดือดร้อน อีกไม่นานช้าจะเกิดไฟไหม้โลกเผาพสกนิกรและส่ำสัตว์จตุบททวิบาทอนาถตายไปทั้งสิ้น

พญาแถนก็แค้นโกรธพิโรธวาทินที่คันคากกากคางคกยกคำมาพูดจา จึงตอบว่ากูเป็นใหญ่ในฟ้าแผ่นนี้อย่างมีธรรมประจำแผ่นฟ้า ฝูงแถนถ้วนหน้าในปกครองไม่เคยขุ่นข้องหมองใจให้กังวล กูหรือก็ไม่ใช่ขี้ข้าขี้ข้อยคอยแต่งฟ้าแต่งฝนให้ใครๆ แล้วเหตุไฉนมึงจะมาบังคับขู่เข็ญไม่เป็นธรรม เมื่อยกพรรคไพร่พลมาระยำอย่างนี้ก็ต้องรบกัน

พญาคันคากบนหลังช้างต้นยืนตระหง่าน สั่งให้นาคจากบาดาลทั้งหมดแปลงร่างเป็นช้างศึก แล้วให้ครุฑกับแร้งกากบเขียดเสือหมีลิงค่างบ่างชะนีตีวงจุกช่องกองหลวงไว่ จากนั้นมีบัญชาให้กบเขียดเป็นกองหน้ากล้าศึกออกรบก่อน

พญาแถนมิได้อนาทรก็เสกมนต์เป็นงูพิษออกไล่กินกบเขียด

กบเขียดของพญาคันคากกลัวงูก็พากันหนี ตัวที่หนีไม่ทันจึงถูกงูพิษของพญาแถนจับกินกัดสะบัดสะบิ้งทิ้งเป็นซากอยู่เกลื่อนกลาดดาษดาฟ้าแถน กบเขียดก็กลัวงูแต่นั้นมา

พญาคันคากสั่งรุ้งเหยี่ยวแร้งกาออกไปไล่จิกจับกินงู แร้งการุ้งเหยี่ยวก็เฉี่ยวโฉบงูมากินจนสิ้นไป

พญาแถนแค้นใจจึงเสกมนต์เป็นหมาล่าไล่รุ้งเหยี่ยวแร้งกาโกลาหล บรรดารุ้งเหยี่ยวแร้งกาก็กลัวหมาแต่นั้นมา

พญาคันคากสั่งให้ลิงกับอีเห็นเต้นโลดกระโดดรบไล่หมา

แต่หมาของพญาแถนหากลัวไม่ ก็ไล่งับขับอีเห็นกับลิงวิ่งหนี ด้วยเหตุดังนี้อีเห็นกับลิงล้วนกลัวหมาแต่นั้นมา

คันคากผู้มีปัญญาจึงให้เสือไปสู้ เสือก็กรูกันกินหมาพญาแถนหมดทุกตัว หมาก็กลัวเสือแต่นั้นมา

เสือพญาคันคากลากหมาพญาแถนไปกินหมดทุกตัวแล้ว ก็วิ่งแจ้วโจมจ้ำขย้ำกัดกินทกล้าทหารแถนแล่นหนีล้มตายระเนระนาด พญาแถนเสกมนต์ฉกรรจ์ฉกาจเป็นกะต่ำคือเครื่องมือดักเสือซ้อนไว้ เสือพญาคันคากได้ใจวิ่งไปตกกะต่ำ เลยถูกหอกดาบแหลนหลาวเกาทัณฑ์ทหารแถนฟันแทงจนแดงเดือดเลือดตกตาย เสือเลยกลัวกะต่ำแต่นั้นมา

พญาคันคากสั่งผึ้งมิ้มต่อแตน บินไปกัดต่อยช้างม้าผู้คนพลไพร่พญาแถนแล่นหนีล้มตายกระจายไป พญาแถนก็เสกมนต์กลแก้เป็นเพลิงไฟ แผ่ไปผลาญเผารมควันผึ้งมิ้มต่อแตนจนดิ้นตาย คนทั้งหมายจึงรู้ใช้ไฟเริงเพลิงควันรมไล่ผึ้งมิ้มต่อแตนแต่นั้นมา

พญาคันคากสั่งนาคและครุฑผุดพ่นน้ำลายดังสายฝนหล่นดับไฟเพลิงเริงแรงของแถน แล้วน้ำอันหลากหลายกลายเป็นทะเลสมุทรสุดคลื่นไปกลืนพหลพลรบของแถนอันตรธาน

พญาแถนแสนชำนาญชาญวิชา ก็เสกมนตราเป็นท้องทรายดื่มดูดเอาสมุทรทะเลหายแห่งในทันที มีทะเลทรายขึ้นมาแทน แล้วแถนฟ้าก็ฟาดธนูศรย์อนยิงเป็นห่าฝนไปยังครุฑและนาค แต่นาคและครุฑเอาปากคาบลูกธนูแล้วกลืนกินจนสิ้นทั้งนั้น แถมยังทำพิลึกพิลั่นขี้ขับถ่ายกลายเป็นถ่านไฟแดงแสงเพลิงราดรดสยดสยองลงไปที่กองทัพของแถนแสนสาหัสกระจัดกระจายตายเป็นเบือ

ผีฟ้าพญาแถนแก้ไขช่วยเหลือด้วยมนต์ลึกล้ำ เสกเป็นปะรำร่มหลังคาวิเศษให้มุงป้องกันเพลิงอุจจาระ แล้วร่ายเวทเดชเดชะให้พลรบที่ทบท่าวล้มตายกลายฟื้นคืนคงจงถ้วนทั้งคนสัตว์ สิ่งของ ต่อจากนั้นแถนฟ้ากล้าหาญเสกเพลิงไฟบรรลัยกัลป์ แล้วสาดศรธนูผลาญพลสารพัดสัตว์ของพญาคันคากมากมายตายล้มเป็นโกลา

พญาคันคากผู้หาญกล้าไม่เกรงกลัว สั่งให้พญานาคกับบริวารทุกตนตัวไปกลืนกินลูกศร ธนู แล้วให้ขี้ถ่ายกลายเป็นปืนใหญ่ระดมยิงไปสู่กองทัพแถนแล่นหายตายเกือบหมด

พญาแถนผีฟ้าไม่ราลด จึงใช้เวทมนตร์ขลังสั่งให้กองทัพที่ล้มตายคลายคืนฟื้นมาเหมือนเดิม พลางก็เพิ่มเติมฤทธิรณ ยิงศรธนูพรูพรั่งดังห่าฝนหล่นเป็นหอกดาบปราบพลไพร่พญาคันคากจนตกตายกลายเป็นเมฆฟ้า

พญาคันคากสั่งครุฑกระพือปีกบังฝนหอกดาบของแถนฟ้าไว้ พลางก็ร่ายมนต์ชุบชีวิตสารพัดสัตว์ขึ้นมา แล้วให้นาคพ่นไฟตอบโต้ไปเผาผลาญพลพญาแถน

พญาแถนแสนวิเศษด้วยเวทมนตร์ ก็เสกเป็นฝนแสนห่าตกมาดับไฟให้สนิท แล้วเนรมิตวังเวียงเรียงศิลาด้วยหินผามาล้อมห้อมห่มทกล้าทหารช้างม้าที่ฟื้นคืนชีวิตให้ลุกขึ้น

พญาคันคากเห็นดังนั้นก็ผันกาย ก่งสายยิงธนูศรเป็นขวานฟ้าแล่นลิวปลิวมหาศาสตราวุธขุดทำลายดังสายฟ้าผ่าปราสาทหินกำแพงหินกับวังเวียงเรียงศิลา แตกกระจายลงเป็นผงธุลีมีเพลิงเผาเป็นเถ้าเป็นถ่านหิน แล้วขวานฟ้ายังบ้าบิ่นบ่อนเบียนบั่นเกล้าเข้าประหารผลาญช้างม้าพลไพร่ของแถนแสนอเนจอนาถดาษดา

การแห่บั้งไฟ และจุดบั้งไฟเพื่อขอฝนจากพญาแถน

ตำนานบั้งไฟขอฝนต้นกำเนิดจาก พญาคันคาก(คางคก) และพญาแถนความเชื่อชาวอีสาน

รูปปั้นพญาคันคาก ที่จังหวัดยโสธร

ตำนานบั้งไฟขอฝนต้นกำเนิดจาก พญาคันคาก(คางคก) และพญาแถนความเชื่อชาวอีสาน

พญาแถนเกิดทุกขเวทนา ก็เสกมนต์ให้ช้างม้าไพร่พลกลับฟื้นขึ้นเหมือนเก่า แล้วพญาแถนก็ปราศรัยกับพญาคันคาก ว่าสองเรามีฤทธิ์เดชเวทมนตร์เสมอกัน สู้รบโรมรันสักเท่าใดก็ไม่มีใครแพ้ชนะเป็นเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่สมควรที่พลไพร่จะต้องมาตายระเนระนาดซ้ำแล้วซ้ำอีก จึง เห็นว่าจะต้องขับคชาชนช้างกันตัวต่อตัวดีกว่า จะได้ขึ้นชื่อลือชาว่าใครคือผู้ชนะ แล้วใครจะเป็นผู้แพ้แท้จริง

พญาคันคากมิได้สะทกสะท้าน ประกาศกล้าอ้าปากกว้างของคางคกผงกรับคำท้าอย่างทระนงองอาจและผึ่งผาย แล้วสั่งพลไพร่กระจายออกเป็นกระบวนถ้วนถี่มีวินัย

ว่าแล้วพญาทั้งสองก็ไสช้างต้นด้นดั้นพันตูชูงวงเชิดงาเข้าหากัน หัวช้างทั้งคู่กระแทกกระทั้นเข้ากระทบตลบตลอด งากับงวงก็ล้วงลอดสอดสลับอยู่สับสน พญาแถนไสช้างต้นได้ล่าง พญาคันคากไสช้างอยู่ข้างบน ก็พลาดท่าเสียทีถูกของ้าวยาวใหญ่ของแถนฟ้าผ่าพาดฟาดลงตรงหัวคันคาก จนหัวคางคกโหนกโนประหนึ่งปุ่มฆ้องกระจองงองแต่นั้นมา

ครั้นเป็นเพลาพาแลงเข้าเย็นย่ำ ทั้งสองพญายังไม่เพลี่ยงพล้ำชนะแพ้แก่กัน จึงต่างก็หยุดยั้งยุทธหัตถี นัดหมายว่าถึงรุ่งพรุ่งนี้จะตีต่อล่อกันใหม่

คืนนั้นเดือนดับ พญาคันคากสั่งมอดให้ไปทำงานลับเล็ดลอดดอดแทะแกะกัด ตัดปืนผาหน้าไม้ของ้าวหลาวแหลนหอกดาบของพญาแถน ให้ยับยุ่ยเป็นผุยผงใช้การไม่ได้

รุ่งขึ้น พญาคันคากสั่งพญานาคให้พรางกายคล้ายเป็นหางไอยราเกาะหลังช้างไปด้วยกัน เมื่อถึงคราวพญาแถนพลัดตกก็เอาบ่วงบาศพาดพันคอไว้ในทันที อย่าให้หนีได้

เมื่อช้างทั้งคู่เข้าจู่โจมโรมรันอุตลุดยุทธหัตถีอีกครั้งคราว พญานาคที่พรางกายคล้ายหางช้างต้นของพญาคันคาก เห็นแถนฟ้าไม่ทันระวัง ก็ผาดแผลงด้วยพลังฤทธิ์บิดกายเป็นบ่วงพราน ระเห็จหาวเหินทะยานคล้องคอพญาแถนแล่นลัดพลัดตกจากหลังช้างลงกลางสมรภูมิแผ่นฟ้า ก็ปราชัยให้กับพญาคันคาก

พญาแถนยกมือขึ้นบังคมพนมไหว้ยอมแพ้ แต่พญาคันคากโกรธนักก็ต่อยเตะตีกระหน่ำไปที่หัวพญาแถน แก้แค้นที่เอาขอมาสับจนหัวปูดหัวโปน ไพร่พลเสนาของพญาคันคากกรากเข้าไปช่วยรุมทำร้าย พลางก็ด่าทอขอฆ่าพญาแถนให้สมแค้นที่ไม่แต่งฟ้าฝนให้ตกไปสู่เมืองมนุษย์ ทำให้มนุษย์สุดแล้งเข็ญล้มหายตายกว่ามหาศาล

พญาแถนแสนทุเรศก็รู้สึกสำนึกผิด ขอเป็นเมืองส่วยสุจริตแต่งน้ำฟ้าห่าฝนหล่นลงเมืองมนุษย์ทุกปี แล้วร้องเชิญพญาคันคากเข้าเมืองแถน พญาคันคากให้ผูกมัดรัดคอพญาแถนแน่นหนา แล้วยกพหลพลโยธาแห่พญาแถนที่ถูกจองจำนำทางเข้าเมืองแถน

ในคุ้มหลวงเมืองแถน บรรดาบริวารพญาแถนทั้งลูกเมียและนางท้าวร้องขอต่อพญาคันคากที่นั่งเมืองแถน ว่าอย่าพิฆาตฟาดฟันบั่นเกล้าชาวแถนเลย จะยอมเป็นข้าช่วงใช้ไปนิรันดร

พญาคันคากมีใจเมตตา สั่งให้ไพร่พลเสนาแก้เครื่องพันธนาการทั้งมวล แล้วเจรจาว่ากล่าวอบรมบ่มนิสัยพญาแถนให้ประพฤติธรรม ต้องเอาใจใส่ดูแลทั้งชาวแถนและชาวมนุษย์จนสุดใจดินใจฟ้า ด้วยโลกนี้มีทั้งดินหญ้าและฟ้าแถนต้องพึ่งพาอาศัยสัมพันธ์กันมั่นคง ถึงจะดำรงอยู่ได้ชั่วฟ้าดิน ถึงฤดูเดือนปีที่นาคต้องขึ้นมาเล่นน้ำบนฟ้าก็อย่าห้ามปราม เพราะนาคจะได้พ่นน้ำกระแทกคลื่น ดื่นดกตกเป็นฝอยฝนหล่นไปชุบเลี้ยงเอี้ยงดูหมู่มนุษย์ทำไร่ไถนา ได้พืชพันธุ์ว่านยาอาหารอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่มีน้ำฟ้าน้ำฝน คนในเมืองมนุษย์สุดลำบาก จะได้ยากโหยหิวชิวหาดังราไฟ เมื่อไม่มีพืชพันธุ์ว่านยาอาหารเลี้ยงชีวังสังขาร แล้วจะเอาอะไรส่งสักการสังเวยให้แถนกินบนฟ้า แถนฟ้าก็ต้องเงือดงดอดตายไม่เป็นสุข นอกจากคนทั้งหลายแล้ว ในเมืองมนุษย์ยังมีพืชและสัตว์ ต้องอาศัยน้ำฝนน้ำฟ้าจากเมืองแถน ถ้าอนาถขาดแคลนเสียแล้วก็ต้องเดือดร้อนสารพัด ทั้งสัตว์และพืชเป็นล้นพ้น เราเองพญาคันคากคือคางคกสัตว์ไม่มีขน ยังต้องดูแลแผ่เผื้อเกื้อหนุนฝูงมนุษย์ พี่น้องเราทั้งหมดก็ล้วนสัตว์บริสุทธิ์ที่พิทักษ์รักษาผู้คนให้มีสุขอุดมสมบูรณ์เสมอกัน ท่านซึ่งเป็นพญาแถนควรจดจำเป็นเยี่ยงอย่าง อย่าเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน

พญานาคคือสัญลักษณ์ของการขอฝน

ตำนานบั้งไฟขอฝนต้นกำเนิดจาก พญาคันคาก(คางคก) และพญาแถนความเชื่อชาวอีสาน

พญาแถนถามพญาคันคากว่า ทุกวันนี้มนุษย์เบียดเบียนกันเองเหมือนปลาใหญ่กินปลาเล็กอยู่ตลอดเวลา คนอ่อนแอถูกคนแข็งแรงกว่าเอาเปรียบเบียดเบียนเป็นเบือ ไฉนไม่กำราบปราบปราม

พญาคันคากดุว่าอย่าถามซุ่มซ่ามอย่างนั้น เพราะทุกวันนี้เราสั่งให้สัตว์เชื้อโรคทำหน้าที่ปราบปรามอยู่แล้ว ตัวมะเร็งให้คอยทำลายพวกเอาเปรียบคนอื่นๆ ตอนนี้กำลังให้นกมีปีกเอาตัวหวัดไปโปรยใส่เล้าคนเอาเปรียบจะได้ล้มละลาย แต่ข้อสำคัญแถนฟ้าต้องรักษาหน้าที่ปล่อยน้ำฟ้าน้ำฝนให้ตกต้องตามฤดู ไม่อย่างนั้นจะขึ้นมาลงโทษอีกให้สาสม

พญาแถนถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเมืองมนุษย์ต้องการน้ำตอนไหน เมื่อไร

พญาคันคากตอบว่า จะส่งสัญญาณให้พญานาคขึ้นมาบอกแล้วเล่นน้ำบนฟ้า

พญาแถนบอกว่า ฟ้าแถนอยู่ไกลมาก กว่าพญานาคมาบอกจะช้าเกินไป

พญาคันคากยกมือตบหัวพญาแถน แล้วอธิบายว่าจะให้พญานาคขี่บั้งไฟขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงแล้วมองเห็นบั้งไฟมีหัวพญานาค ก็ให้ไขน้ำทำฝนหล่นลงเมืองมนุษย์ทันที

พญาแถนน้อมรับคำสั่งสอนของพญาคันคากทุกอย่าง แล้วสั่งให้ไพร่พลลูกเมียเตรียมสำรับกับข้าวเลี้ยงดูกองทัพพญาคันคาก

พญาคันคากไม่รู้จักข้าว เลยถามว่ามันคืออะไร

พญาแถนบอกว่าเมืองฟ้าเมืองแถนมีข้าวปลูกไว้กิน เป็นข้าวหอมและอร่อยมาก แล้วอธิบายสรรพคุณยืดยาว

พญาคันคากเลยสั่งให้พญาแถนเอาข้าวลงไปปลูกในเมืองมนุษย์

พญาแถนถามว่า จะเอาข้าวเมล็ดขนาดไหน เพราะมีหลายขนาด มีทั้งเมล็ดเล็กและเมล็ดใหญ่ กับมีเมล็ดเรียวยาวและเมล็ดอ้วนป้อม

พญาเสือได้ยินดังนั้น จึงร้องบอกไปว่าเมล็ดอย่างไหนก็ได้ แต่ขอให้มีรวงยาวเท่าหางเสือของข้าก็แล้วกัน

พญาคันคากทำหน้าถมึงทึง แล้วร้องบอกว่าอย่าเสือก เป็นเสืออย่าใส่เกือก คืออย่าเสือก อย่าทะลึ่ง เหตุนี้เสือเลยกลัวคันคากคางคกตั้งแต่นั้นมา

พญาคันคากบอกพญาแถนว่า รวงข้าวให้ยาวแค่วาของข้า เมล็ดข้าวเท่ามะพร้าว ต้นข้าวเท่าลำตาลก็พอแล้ว

พญาแถนรับคำ แล้วบอกเพิ่มเติมว่า ข้าวพวกนี้เมื่อโตเต็มที่แล้ว เมล็ดข้าวจะหล่นจากรวงเอง แล้วจะแล่นไปเข้ายุ้งฉางเล้าข้าวเอง ขอให้มนุษย์ทำยุ้งฉางเยียข้าวคอยไว้เท่านั้น

เมื่อสำเร็จเสร็จสรรพแล้ว พญาคันคากก็พาสารพัดสัตว์ไพร่พลทั้งหลายลงจากเมืองแถนแดนฟ้า กลับสู่แดนดินเมืองชมพูตามเส้นทางเดิมที่ปลวกทำไว้

นับแต่พญาคันคากร่างคางคกยกรบชนะพญาแถน บรรดาผู้คนและสัตว์พืชในโลกชมพูทวีปก็อุดมสมบูรณ์พูนสุขทุกประการ พืชพันธุ์ว่านยาอาหารมั่งคั่งและมั่นคง ถึงเดือนอ้ายได้ฉลองความร่มเย็นเป็นปีใหม่เก็บเกี่ยวพืชผล จนถึงเดือนห้าฟ้าฝนแห้งแล้งก็แต่งตก ยอยกพญานาคขี่บั้งไฟขึ้นไปบอกแถนฟ้า น้ำฟ้าน้ำฝนก็หล่นลงมาเป็นธรรมชาติไม่ขาดแคลนตามคำแถนตกลงไว้ ข้าวทิพย์ข้าวแถนเมล็ดเท่าลูกหมากพร้าว ต้นเท่าลำตาล ก็เอิกเกริกเบิกบานบินเข้ายุ้งเยียไม่เสียหายอันใดเลย

อนาถจิต อนิจจา ครั้นพญาคันคากละร่างคางคกรูปคนสิ้นอายุขัยแล้วสวรรคต เมื่อช้านานกาลกำหนดความอุดมสมบูรณ์ก็เริ่มประหลาด ผู้คนในชมพูทวีปต่างประมาทขาดสำรวมจนเรรวนแล้วเกียจคร้าน เหตุเพราะความสะดวกสบายที่พญาแถนบันดาล ผู้คนลืมทำยุ้งเยียเล้าข้าวให้พร้อมเสร็จตามเวลากำหนด เมื่อเมล็ดข้าวสุกจึงหล่นเรี่ยรายตามนาไร่ เมื่อไม่มีที่อยู่ก็บินหาที่พำนักในเรือนนอนของผู้คน เขาก็พากันเอาพร้ามีดขวานโขกสับเมล็ดข้าวจนปี้ป่นแตกตัดกระจัดกระจาย เหลือเมล็ดเท่ากรวดทรายกระจิริดตั้งแต่นั้นมา

ทางถนนที่ปลวกทำไว้ให้พญาคันคากขึ้นไปหาฟ้าแถนแต่ก่อน มีเครือเขากาดเกี่ยวพันแน่นหนาไม่สั่นคลอนถาวรเป็นนิรันดร์ให้ผีแลคนสัญจรไปมา พญาแถนพิจารณาว่ามนุษย์ไม่ซื่อตรง ล้วนลุ่มหลงแต่ความสบายบริโภคซึ่งพิษภัย เบียดเบียนกันเองไม่เกรงใครเหมือนปลาใหญ่กินปลาเล็กทุกบริเวณ ผีฟ้าพญาแถนก็ก่งศรร่อนธนูสู่ทางถนนเครือเขากาด หนทางปลวกของพญาคันคากก็ขาดสะบั้นถล่มทลายกระจายเป็น ภูดอยน้อยใหญ่ในชมพูทวีปแต่นั้นมา

ผีฟ้าพญาแถนแดนสวางสวงสังเวียนบนสวรรค์ ก็ลงโทษทัณฑ์มนุษย์ทั้งหลายที่มักเกียจคร้าน จึงไม่ปลูกพันธุ์ข้าวทิพย์ให้มนุษย์เหมือนแต่ก่อน มนุษย์ต้องหักร้างถางพงในดงดอน แล้วถางไถปลูกข้าวกินเองอย่างทุกข์ทรมานแต่นั้นมา

พญาคันคากจากไป พญาแถนก็ไม่กลับมา ฤดูเดือนจึงเคลื่อนที่ไม่คงทน น้ำฟ้าน้ำฝนขาดตกบกพร่อง แม่น้ำลำคลองเน่าเหม็นเป็นอันตราย สุมทุมพุ่มไม้ป่าดงพงไพรพินาศ ล้วนมีเหตุจากความประมาทของมนุษย์ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10212786392516272&id=1281720771

พิธีรำบวงสรวงพญาคันคากและแห่บั้งไฟขอฝนจากพญาแถนของชาวยโสธร

ตำนานบั้งไฟขอฝนต้นกำเนิดจาก พญาคันคาก(คางคก) และพญาแถนความเชื่อชาวอีสาน
แชร์