รู้จริงรึเปล่า!!! 12ข้อที่คุณกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 'วิชาชีพพยาบาล'

เปิด "12ข้อ" ที่คุณกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "พยาบาล" ฟังจากอธิบายจาก "นายแพทย์" คนดังใช้เฟซบุ๊ค Jakkrit Parito เพื่ออธิบายการทำงานระหว่าง "พยาบาล" กับ "แพทย์" ไว้น่าสนใจดังนี้ http://winne.ws/n15525

856 ผู้เข้าชม
รู้จริงรึเปล่า!!! 12ข้อที่คุณกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 'วิชาชีพพยาบาล'http://www.posttoday.com/analysis/report/494436

เรื่องพยาบาลกำลังฮอต! เปิด "12ข้อ" ที่คุณกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "พยาบาล" ฟังจากอธิบายจาก "นายแพทย์" คนดัง เป็นคนให้คำตอบ..

นายแพทย์ท่านหนึ่ง ใช้เฟซบุ๊ค Jakkrit Parito เพื่ออธิบายการทำงานระหว่าง "พยาบาล" กับ "แพทย์" ไว้น่าสนใจดังนี้ 

@ 12 ข้อ ที่คุณกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ พยาบาล @ 

1.หากจะเรียนพยาบาลเป็นนักเรียนพยาบาลทุนดีที่สุด เพราะเรียนฟรีไม่เสียเงินและจบมาก็มีตำเหน่งข้าราชการรองรับ 

ความจริงคือ นักเรียนทุนพยาบาลขึ้นกับว่า เรียนทุนที่ไหนแต่ละที่ก็สัญญาต่างกัน เช่นบางที่ให้ทุน ปีละ 3 หมื่นบาท หมายถึงเกินกว่านั้นต้องจ่ายเงินเองและแน่นอน นักเรียนทุนเป็นเพียงแค่ชื่อที่สวยหรู แต่ในความจริงยังไง พ่อแม่ก็ทำนาหาเงินมาส่งเสียอยู่ดี และที่บอกว่าจบมาแล้วเข้าทำงานเลยนั้น คือเข้ามาทำงานในฐานะลูกจ้างไม่ใช่ข้าราชการและโดยส่วนใหญ่จะผูกมัดที่ 4 ปี 

ฉะนั้นในความจริงคือ บางแห่งให้ปีละ 3 หมื่น 4 ปีก็ 120,000 บาท แต่ต้องมาผูกมัดทำงานหนักได้เงินน้อยและทนอยู่ถึง 4 ปี : บางทียอมเรียนจ่ายเงินเองทั้งหมดแล้วจบมาทำงานโรงพยาบาลเอกชนได้เงินเยอะกว่า งานสบายกว่า ครับ บางทีข้อนี้ พ่อแม่ อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ 

2.พยาบาลเป็นวิชาชีพที่ขาดแคลน 
ความจริงคือ ใน 1 ปี ประเทศไทยผลิตพยาบาลได้เยอะมากทั่วประเทศ ทั้งสถาบันของรัฐบาลและเอกชนเอง หากพยาบาลเหล่านั้นทำงานให้กับโรงพยาบาลรัฐบาลทั้งหมดยังไงก็เพียงพอครับ 

แต่ที่บอกว่าขาดแคลนเพราะ พยาบาลทนในสภาพงานที่ทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลที่งานหนัก เสี่ยงภัยรอบด้าน สวัสดิการต่างแย่มากๆ และค่าตอบแทนไม่คุ้มค่ากัน ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่ก็จะไปทำงานโรงพยาบาลเอกชน หรือเปลี่ยนสายงานไปเลยเช่น แอร์โฮสเตส เป็นต้น 
ทำให้ดูเหมือนผลิตอย่างไรก็ไม่พอ เหมือนเติมไม่เต็มสักที และการผลิตพยาบาลเพิ่มเรื่อยๆก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุที่แก้อย่างไรก็ไม่จบ 

3.อยากสบายตอนแก่ให้ลูกเรียนพยาบาล จะได้มีคนดูแล ฝากผีฝากไข้ 
ความจริงคือเมื่อเป็นพยาบาลงานหนักมาก เวลาที่ลาพักก็ไม่มีต้องขึ้นเวรตลอดไม่ใช่อยากได้เงินค่าเวรมาก แต่พราะ ภาระงานและคนไม่เพียงพอต้องขึ้นทำงาน เมื่อเวลา พ่อแม่ตัวเองป่วย บางคนไม่สามารถลาไปดูแลได้ด้วยซ้ำ ต้องให้ลูกคนอื่นดูแลแทนครับ 

ฉะนั้นหากอยากให้ลูกดูแลตอนแก่ ให้ทำงานอาชีพอื่นเลยครับ เพราะหากลูกคุณได้มาเป็นพยาบาล เค้าจะไม่มีเวลามาดูแลคุณ เวลาทั้งหมดจะเสียไปที่ดูแลพ่อแม่คนอื่นแทนครับ 

4.แหมๆๆเป็นพยาบาล ก็เป็นลูกน้องของหมอ อะสิ ?? 
ความจริงคือพยาบาลมีหัวหน้าเพียงคนเดียวคือ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล หรือเรียกอีกอย่างคือ รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล ฉะนั้นพยาบาลจึงไม่ใช่ลูกน้องของหมอ พยาบาลและหมอจึงเป็นเพียงร่วมงานกันเท่านั้น และเมื่อต้องให้ความดีความชอบ เลื่อนขั้น พยาบาลเค้าก็ให้กันเอง หมอไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย 

แต่ก็ยังมีหมออีกหลายๆคนที่คิดว่า พยาบาลเป็นลูกน้องของตัวเอง สั่งซ้่ายต้องซ้าย ขวาต้องขวา หากหนักหน่อยถึงขั้นดูถูกวิชาชีพพยาบาลเลย ทั้งๆที่จริงแล้ว ตอน ม.6 ก่อน Ent เรียน แพทย์ที่มาฝึกงานที่โรงพยาบาล น้องๆก็ได้รับดูแลโดยพยาบาล ฉะนั้นจะว่าไปแล้ว พยาบาลคือ อาจารย์แพทย์คนแรกของหมอทุกๆคนด้วยซ้ำไป แล้วพอเรียนจบเป็นหมอแล้วมาดูถูกวิชาชีพพยาบาล ก็ไม่ได้ต่างจากศิษย์คิดทรยศครู ไม่สมควรอย่างยิ่งครับ 

5.ฮืม !!! เป็นพยาบาลก็เก่งน้อยกว่าหมอแน่ๆเลย 
ความจริงคือ พยาบาลที่ทำงานมานานเฉพาะด้าน ความชำนาญจะมีมากกว่าหมอ จึงไม่น่าแปลกใจเวลาที่คนไข้ในตึกเกิดปัญหา อาจารย์หมอเฉพาะทางนอกจากจะคุยกับแพทย์เวรมักจะขอคุย confirm อาการคนไข้กับพยาบาลอีกที ซึ่งผมก็เป็นเพราะแพทย์เวรจบใหม่ชั่วโมงบินน้อย บางทีรู้น้อยกว่าพยาบาลด้วยซ้ำไปครับ 

ฉะนั้นเวลาเราไปเยี่ยมคนไข้ที่ตึกคนไข้หากไม่เจออาจารย์หมอเจ้าของไข้เอง และได้มีโอกาสคุยกับแพทย์เวรแล้ว หากอยากได้ข้อมูลที่ครบถ้วนลองหาเวลาคุยกัพยาบาลที่ดูแลคนไข้ก็จะเป็นการดีมากครับ 

รู้จริงรึเปล่า!!! 12ข้อที่คุณกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 'วิชาชีพพยาบาล'

6.เป็นพยาบาลก็เป็นไป พยาบาลทำหน้าที่แทนหมอไม่ได้ 

ความจริงคือ หมอเป็นผู้ตรวจโรค วินิจฉัยและรักษา ส่วนพยาบาลมีหน้าที่พยาบาลคนไข้ตามที่หมอเห็นสมควร แต่หลายๆที่ที่พยาบาลต้องทำหน้าที่ของแพทย์ เช่น โรงพยาบาลอำเภอหลายแห่งที่แพทย์ไม่เพียงพอ ในเวร บ่าย ดึก หรือวันหยุด หากมีคนไข้มาที่โรงพยาบาลจะได้รับการตรวจและรักษาโดยพยาบาลวิชาชีพในกรณีไม่หนักมาก หรือในโรงพยาบาลใหญ่บางแห่ง ที่ไม่มีวิสัญญีแพทย์ มีวิสัญญีพยาบาล / ไม่มีจิตแพทย์ แต่มีพยาบาลนักจิตวิทยา 

เค้าเหล่านั้นก็ทำหน้าที่แทนแพทย์ครับ ถึงแม้ว่าจะมีแพทย์สาขาอื่นดูแลแทน เช่นสมัยแรกๆที่ผมจบมาผ่าตัดสมองก็ทำงานกับวิสัญญีพยาบาล เพราะเราไม่มีวิสัญญีแพทย์ โดยอยู่ในหน้าที่ของหมอผ่าตัดดูแลทั้งหมด แต่บอกเลยครับ ในขณะผ่าตัดสมองความรู้เรื่องวางยาสลบผมมีไม่เท่ากับพยาบาลวิสัญญีเลยครับ 

แพทย์เราต่างหากที่ไม่สามารถทำหน้าที่ของพยาบาลได้เลยเพราะเราไม่ได้เรียนการพยาบาลมา ฉะนั้นในสถานพยาบาลที่มีพยาบาลเพียงลำพังเช่นสถานีอนามัยจึงเปิดทำการได้ แต่ สถานที่ที่มีหมอเพียงคนเดียวจึงไม่สามารถมีได้ครับ 

7.เป็นพยาบาลสบายกว่าหมอ เพราะหมองานหนักมากๆ 

ความจริงคือหากไม่เอาเรื่องที่ว่า หมอเป็นหัวหน้าคณะในการรักษาพยาบาล และพยาบาลเป็นผู้พยาบาลคนไข้ แต่เอาเฉพาะเรื่องชั่วโมงในการทำงาน ชั่วโมงในการพักผ่อน และค่าตอบแทน เราจะพบว่า พยาบาลแต่ละคนมีชั่วโมงในการทำงานมากกว่าหรือเท่ากับหมอ ( แต่ชั่วโมงการทำงานของพยาบาลต้องทำตลอด แต่ แพทย์สามารถพักได้บางเวลา ) และชั่วโมงในการพักของพยาบาลจึงน้อยกว่าหมอ ในขณะที่ค่าตอบแทนให้พยาบาลน้อยกว่าหมอมากๆครับ และหากพูดเรื่องความเสี่ยงตอนนี้เราพบว่ามีการฟ้องร้องพยาบาลที่ให้การพยาบาลโดยไม่ฟ้องหมอ พบเยอะขึ้นนะครับ 

ฉะนั้นหากพูดว่า หมอทำงานหนักมาก ต้องบอกว่า พยาบาลงานหนักโคตรๆๆเลยครับ 

8.พยาบาลคือมดงานของโรงพยาบาล ส่วนหมอเป็นมันสมองของโรงพยาบาล 

ความจริงคือ หลายๆงานของโรงพยาบาล หลายโครงการเกิดจากความคิดของพยาบาลและเดินหน้าทำงานด้วยพยาบาล โดยพยาบาลเหล่านั้นทำงานโดยไม่เหน็ดเหนื่อย เพื่อให้เกิดผลลัพธิ์ที่ดี แต่เมื่อเวลานำเสนอผลงาน หมอกับเป็นคนนำเสนอ แต่พยาบาลต่างยินดีที่จะอยู่เบื้องหลังของความสำเร็จทั้งหมด 

ฉะนั้น มันสมองของโรงพยาบาลตัวจริงคือพยาบาลครับ 

9.เป็นพยาบาลต้องสวยตลอดเวลา ยิ้มสยาม พูดจาไพเราะน่าฟังตลอดเวลา 

ความจริงคือ พยาบาลก็เป็นคน มีชีวิตจิตใจ มีรัก โลภ โกรธ หลง กันหมดทุกๆคน เมื่อเค้าเหล่านั้นทำงานหนัก เวลาพักผ่อนไม่มี อาจจะทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป คำพูดหางเสียง คะ ขา หายไป เพราะความเหนื่อยล้าของร่างกาย แต่ทุกๆรู้ บทบาทหน้าที่ของตนเอง ครับ 

ฉะนั้นก่อนที่เราจะบอกว่า พยาบาลพูดจาไม่ดี ไม่ใส่ใจอยากให้ลองทบทวนกันให้ดีๆก่อนครับ พบกันครึ่งทาง ค่อยทีค่อยอาศัยกันจะดีกว่าครับ 

10.พยาบาลทำงานเป็นกะ / กะละ 8 ชั่วโมงดีจะตายยังจะบ่นอีก 

ความจริงคือ พยาบาลไม่ใช่ รปภ. เพราะในตลอดระยะเวลาทำงาน 8 ชั่วโมง คนไข้มีอาการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อจะลงเวรจึงสบัดตูดเดินหนีไม่ได้ ต้องส่งเวรให้กับพยาบาลชุดใหม่ที่ขึ้นมาแทนที่จะได้ลงเลย แต่ต้องมาเสียเวลาส่งเวรอีก 1- 2 ชั่วโมง ขึ้นกับจำนวนและอาการของคนไข้ 

ฉะนั้น หาก 1 วันมี 3 เวร / เสียเวลา เวรละ 1 ชั่วโมง หมายถึง 1 วันจะเสียเวลา ไป 3 ชั่วโมง และ 1 เดือน จะเสียเวลาไป 90 ชั่วโมง ซึ่งก็คือ เกือบ 4 วัน / และเป็น 4 วันที่เสียไปโดย ไม่ได้ค่าตอบแทนครับ และยังไม่รวม การประชุม ทำงานเอกสารต่างๆๆอีกมากมายนะครับ 

11.พยาบาลเป็นวิชาชีพที่ หยุดแล้ว ไม่มีการพัฒนา การพยาบาลสมัยก่อนกับสมัยนี้ ก็เหมือนกัน 

ความจริงคือ พยาบาลเรียน 4 ปี จริงครับ แต่เมื่อเป็นพยาบาลแล้ว พยาบาลสามารถเรียนพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งมีหลากหลายสาขา เช่น เฉพาะทางด้านสมอง ด้านตา ด้านไต ด้านดมยาสลบ( วิสัญญีพยาบาล ) เป็นต้น 

ฉะนั้น วิชาการพยาบาลจึงไม่ได้หยุดนิ่งอย่างที่หลายคนเข้าใจ มีการพัฒนาต่อเนื่อง ในฐานะ หมอด้านสมอง บอกตรงๆๆเลย หากถามความรู้เรื่องไต มา พยาบาลเฉพาะทางโรคไต เก่งกว่าผมแน่นอน 

12.ญาติต้องการให้พยาบาลทำอะไร พยาบาลต้องทำให้หมดไม่มีข้อยกเว้น 

ความจริงคือ ในแต่ละเวร หน้าที่พยาบาลของแต่ละคนจะมีเวลาชัดเจนในการทำงานของแต่ละคน เช่น การอาบน้ำเช็ดตัวให้คนไข้ ก็ทำ 2 เวลา เช้าเย็น เรียกว่า เช็ดทุกซอกทุกมุมกันเลยหละครับ การให้อาหาร การให้ยา จะมีเวล่าการทำงานที่ชัดเจนครับ 

ฉะนั้นในบางอย่างที่น้องๆพยาบาลทำไปแล้ว เช่น อาบน้ำทำสะอาดไปแล้ว อีก 1 ชั่วโมง คนไข้อ้วกออกมาอีก ญาติก็สามารถทำสะอาดแทนได้เลย ไม่ต้องร้องของให้พยาบาลทำให้ใหม่ครับ ถือว่าช่วยเหลือกัน หากไม่มั่นใจว่าจะทำได้ถูกต้องไหม สามารถสอบถามพยาบาลได้ครับ 

และให้ระลึกเสมอว่า การได้ทำสะอาดให้ พ่อแม่ ป้อนอาหารพ่อแม่ด้วยตัวเอง มันเป็น กุศล มากๆครับ 


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/754475

รู้จริงรึเปล่า!!! 12ข้อที่คุณกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 'วิชาชีพพยาบาล'http://www.posttoday.com/analysis/report/494436
แชร์