ทำแบบนี้เรียกว่า"ซื้อขายบุญ"หรือเปล่า ? เพราะมัน ง่ายกว่าขายสินค้าอีกนะ...?
ปีที่ผ่านมา เห็นมีข่าวลงหลายเรื่องเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย และยังมีการบอกว่า วัดพระธรรมกายหลอกขายบุญจนหมดตัวกัน..อีก ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ขายของกับขายบุญต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร ? และถ้าทำแบบนี้ เขาเรียกว่า "ขายบุญซื้อบุญ" หรือเปล่า? http://winne.ws/n15809
ปีที่ผ่านมา เห็นมีข่าวลงหลายเรื่องเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย และยังมีการบอกว่า วัดพระธรรมกายหลอกขายบุญจนหมดตัวกัน..อีก ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ขายของกับขายบุญต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร ?
หลายคนที่เป็นนักขายก็จะเข้าใจว่า ต้องมีสินค้าจึงขายได้
แล้วถ้าวัดในพระพุทธศาสนา เขามีสินค้าหรือเปล่า ก็เห็นมีแต่บุญ (พลังงานบริสุทธิ์) นี่แหละคือสินค้าของวัด ของพระพุทธศาสนา แต่เขาต้องขายด้วยหรือ ? แต่ถ้านึกดี ๆ จะดีกว่าสินค้าทั่วไปอีกนะ
เพราะบุญหรือพลังงานบริสุทธิ์ นี้ หาได้เอง ไม่ต้องซื้อก็ได้ คือไม่ต้องทำบุญเป็นปัจจัยหรือเงินทองอะไรก็ได้ เช่น การสวดมนต์ การนั่งสมาธิ การขวนขวายในกิจของสงฆ์หรือพัฒนาวัดก็ไม่ต้องเสียตังค์เลยสักบาท แม้แต่การชวนคนทำบุญทำดีก็เป็นบุญ เพราะทำให้เขามีใจ วาจากายสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น
และที่สำคัญ "บุญ หรือพลังงานบริสุทธิ์" แก้ได้ทุกเรื่องทุกปัญหา แก้ได้ทุกโรค ช่วยให้เกิดสิ่งดี ๆ กับผู้ปฏิบัติ และยังติดตามไปตลอด แม้กระทั่งตายแล้ว ส่วนสินค้า หรือสิ่งของซื้อขายกันไม่นานก็เสื่อมโทรม ต้องซื้อใหม่อีก ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ อีกต่างหาก
พอนึกได้อย่างนี้ เลยมีความคิดว่า ถ้าอย่างนี้ บุญหรือพลังงานบริสุทธิ์ ต้องแนะนำหรือเชิญชวนให้คนอื่นง่ายกว่า สินค้าทั่ว ๆ ไป แน่เลย
แล้วทำอย่างไร ? จะแนะนำเขาได้ล่ะ ลองมาดูกันว่า จะมีวิธีอย่างไร ชวนหรือแนะนำบุญให้กับคนอื่นได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะการสวดมนต์หรือ นั่งสมาธิ ที่ไม่ต้องเสียตังค์นี่แหละ
เนื่องจากเคยเป็นนักขายสินค้าที่ชอบขาย เกร็ดความรู้เรื่องเทคนิคการขายที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องจริงที่ทำได้กับสินค้าทุกชนิดเลยนะ
อันดับแรกนะ เราต้องเข้าใจก่อนว่า บุญหรือพลังงานบริสุทธิ์ มีดีอย่างไร อย่างเข้าใจและซึ้ง ๆ ได้ยิ่งดี จะซึ้งได้ก็ต้องปฏิบัติด้วยตัวเองก่อนนั่นแหละ เราจะได้รู้ด้วยใจของเราเองเลย เวลาพูดบอกเขาจะได้มองเขาได้เต็มตาเลย ไม่ต้องหลบตาเขา (อย่าลืม การแต่งตัว ท่วงท่า กริยาอาการเราต้องสมกับนักบุญด้วยนะ)
อันดับต่อมา ต้องมั่นใจว่า "เราไม่ได้ไปเอาอะไรจากเขา แต่ไปเพื่อมอบสิ่งดี ๆ ที่เลิศให้เขา ให้ด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อเขาเหล่านั้น อย่างจริงใจ" อันนี้ให้ 5 ดาวคือสำคัญมาก ฝรั่งเรียกว่า ทัศนคติเชิงบวก (ฝรั่งบอกว่า ความสำเร็จนั้น เกิดจาก ทัศนคติเชิงบวก ร้อยละ 90 และเป็นรายละเอียดวิธีการแค่ ร้อยละ 10 เท่านั้น)
ขั้นที่ 3 ไปแล้ว ต้องรู้สภาพปัญหาของเขาให้ได้สักอย่าง เช่น ปัญหาการเงิน ครอบครัว สุขภาพ ฯลฯ หรือเขารักอะไร ขาดอะไร ทุกข์อะไรอยู่ในขณะนั้น ช่วงนั้น ทำไมต้องรู้เพราะ คนส่วนใหญ่ปฏิเสธบุญเพราะกลัวต้องจ่ายตังค์ และไม่รู้จักบุญจริง ๆ เลยปฏิเสธไว้ก่อน ขั้นตอนนี้เรียกว่าเราต้องช่างสังเกต และเปิดใจฟังเขาก่อนมากกว่ารีบไปยัดเยียดให้เขา (คำว่า "ชวน" กับคำว่า "เชิญ" หรือคำว่า "ให้ข้อมูล" นั้นความหมายต่างกัน คำว่า "ชวน" เขาจะกลัวและรีบปฏิเสธไว้ก่อน ต้องใจเย็น ๆ)
พอรู้ปัญหาหรือจุดด้อยจุดแข็งของเขาแล้ว ก็หาโอกาสเสนอวิธีแก้ ด้วยวิธีแบบบุญ ๆ เช่นเชิญชวนสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิที่บ้านเขา สักวันละ 5-10 นาที แต่เราต้องมีสื่อเช่นลำโพงเสียงตัวอย่างการสวดมนต์ หรือนำนั่งสมาธิ หรือสอนให้ภาวนา และหนังสือสวดมนต์เป็นต้น
ขั้นต่อมา ก็มอบให้ด้วยความสุภาพ และดีใจ ปลื้มใจที่เขาจะได้สิ่งดี ๆ ไว้ติดบ้านของเขา และครอบครัว แต่เริ่มที่ตัวเขาก่อนใคร
ขั้นต่อมา ก็ต้องบริการหลังการขาย คือโทรถามพูดคุยแบบห่วงใย ถามปัญหาที่เขาพบและปัญหาอุปกรณ์การสวดมนต์หรือสภาพภายในครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง สวดตอนไหน ใครสวดบ้าง แล้วแผ่เมตตาไหม หลับดีไหม ฯลฯ
ขั้นต่อมา ก็แวะเวียนไปเยี่ยมเขาบ้าง เมื่อมีโอกาส เพื่อเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขาและครอบครัว และอย่าลืม ทาน(มีของติดมือ) ปิยวาจา อัตถจริยา(วางตัวเหมาะสม)และเสมอต้นเสมอปลาย)
ขั้นตอนสุดท้าย คือติดตามผล ประเมินผล ถ้าเขามีแววเป็นผู้นำ ก็ให้เขาทำเลียนแบบที่เราทำมาแต่ต้นนั่นแหละ
เนื่องจากการทำแบบนี้ เราจะได้บุญเป็นวิทยาทาน แต่ถ้าเราขายบุญ แนะนำบุญ (พลังงานบริสุทธิ์) หรือความดี ก็ถือว่าเราจะได้ธรรมทาน ซึ่ง การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง เพราะเมื่อเขารับแล้ว เขาสะอาดบริสุทธิ์ (ไม่ทำบาปด้วยกาย วาจา ใจ) มากขึ้นเป็นหนทางมุ่งสู่หนทางพระนิพพานมากขึ้น เราก็จะได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย
นี่แหละ วิธีขายบุญที่สังคมคิดว่า ศิษย์วัดพระธรรมกาย ทำกัน ก็เป็นอย่างนี้จริง ๆ นะ ไม่ได้เปิดตำรามาเขียน เพราะทำอย่างนี้จริง ๆ ขอบคุณสื่อที่ทำให้หวนคิดถึงความรู้เดิม ๆ ได้นำมาใช้ใหม่ได้ดีกว่าเก่า !!!!
แล้วทำแบบนี้เรียกว่า"ซื้อขายบุญ"หรือเปล่า ? เพราะมัน ง่ายกว่าขายสินค้าอีกนะ...?
ส่วนว่า เมื่อพบเจอคำถาม จะมีเทคนิคตอบอย่างไร ? จะนำมาเล่าให้ฟังใหม่นะ เดี๋ยวจะยาวเกินไป ไม่อยากอ่าน
กระดิ่งช่อฟ้า
24 พ.ค. 2560 เวลา 17.09 น.