ทำแบบนี้เรียกว่า"ซื้อขายบุญ"หรือเปล่า ? เพราะมัน ง่ายกว่าขายสินค้าอีกนะ...?

ปีที่ผ่านมา เห็นมีข่าวลงหลายเรื่องเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย และยังมีการบอกว่า วัดพระธรรมกายหลอกขายบุญจนหมดตัวกัน..อีก ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ขายของกับขายบุญต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร ? และถ้าทำแบบนี้ เขาเรียกว่า "ขายบุญซื้อบุญ" หรือเปล่า? http://winne.ws/n15809

978 ผู้เข้าชม
ทำแบบนี้เรียกว่า"ซื้อขายบุญ"หรือเปล่า ? เพราะมัน ง่ายกว่าขายสินค้าอีกนะ...?แหล่งภาพจาก ความดี คนดี ทำดี - blogger

ปีที่ผ่านมา เห็นมีข่าวลงหลายเรื่องเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย และยังมีการบอกว่า วัดพระธรรมกายหลอกขายบุญจนหมดตัวกัน..อีก ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ขายของกับขายบุญต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร ?

หลายคนที่เป็นนักขายก็จะเข้าใจว่า ต้องมีสินค้าจึงขายได้ 

แล้วถ้าวัดในพระพุทธศาสนา เขามีสินค้าหรือเปล่า ก็เห็นมีแต่บุญ (พลังงานบริสุทธิ์) นี่แหละคือสินค้าของวัด ของพระพุทธศาสนา แต่เขาต้องขายด้วยหรือ ? แต่ถ้านึกดี ๆ จะดีกว่าสินค้าทั่วไปอีกนะ

เพราะบุญหรือพลังงานบริสุทธิ์ นี้ หาได้เอง ไม่ต้องซื้อก็ได้ คือไม่ต้องทำบุญเป็นปัจจัยหรือเงินทองอะไรก็ได้ เช่น การสวดมนต์ การนั่งสมาธิ การขวนขวายในกิจของสงฆ์หรือพัฒนาวัดก็ไม่ต้องเสียตังค์เลยสักบาท แม้แต่การชวนคนทำบุญทำดีก็เป็นบุญ เพราะทำให้เขามีใจ วาจากายสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น

และที่สำคัญ "บุญ หรือพลังงานบริสุทธิ์" แก้ได้ทุกเรื่องทุกปัญหา แก้ได้ทุกโรค ช่วยให้เกิดสิ่งดี ๆ กับผู้ปฏิบัติ และยังติดตามไปตลอด แม้กระทั่งตายแล้ว ส่วนสินค้า หรือสิ่งของซื้อขายกันไม่นานก็เสื่อมโทรม ต้องซื้อใหม่อีก ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ อีกต่างหาก

พอนึกได้อย่างนี้ เลยมีความคิดว่า ถ้าอย่างนี้ บุญหรือพลังงานบริสุทธิ์ ต้องแนะนำหรือเชิญชวนให้คนอื่นง่ายกว่า สินค้าทั่ว ๆ ไป แน่เลย

แล้วทำอย่างไร ? จะแนะนำเขาได้ล่ะ ลองมาดูกันว่า จะมีวิธีอย่างไร ชวนหรือแนะนำบุญให้กับคนอื่นได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะการสวดมนต์หรือ นั่งสมาธิ ที่ไม่ต้องเสียตังค์นี่แหละ

เนื่องจากเคยเป็นนักขายสินค้าที่ชอบขาย เกร็ดความรู้เรื่องเทคนิคการขายที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องจริงที่ทำได้กับสินค้าทุกชนิดเลยนะ

อันดับแรกนะ เราต้องเข้าใจก่อนว่า บุญหรือพลังงานบริสุทธิ์ มีดีอย่างไร อย่างเข้าใจและซึ้ง ๆ ได้ยิ่งดี จะซึ้งได้ก็ต้องปฏิบัติด้วยตัวเองก่อนนั่นแหละ เราจะได้รู้ด้วยใจของเราเองเลย เวลาพูดบอกเขาจะได้มองเขาได้เต็มตาเลย ไม่ต้องหลบตาเขา (อย่าลืม การแต่งตัว ท่วงท่า กริยาอาการเราต้องสมกับนักบุญด้วยนะ)

อันดับต่อมา ต้องมั่นใจว่า "เราไม่ได้ไปเอาอะไรจากเขา แต่ไปเพื่อมอบสิ่งดี ๆ ที่เลิศให้เขา ให้ด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อเขาเหล่านั้น อย่างจริงใจ" อันนี้ให้ 5 ดาวคือสำคัญมาก ฝรั่งเรียกว่า ทัศนคติเชิงบวก (ฝรั่งบอกว่า ความสำเร็จนั้น เกิดจาก ทัศนคติเชิงบวก ร้อยละ 90 และเป็นรายละเอียดวิธีการแค่ ร้อยละ 10 เท่านั้น)

ขั้นที่ 3 ไปแล้ว ต้องรู้สภาพปัญหาของเขาให้ได้สักอย่าง  เช่น ปัญหาการเงิน ครอบครัว สุขภาพ ฯลฯ หรือเขารักอะไร ขาดอะไร ทุกข์อะไรอยู่ในขณะนั้น ช่วงนั้น ทำไมต้องรู้เพราะ คนส่วนใหญ่ปฏิเสธบุญเพราะกลัวต้องจ่ายตังค์ และไม่รู้จักบุญจริง ๆ เลยปฏิเสธไว้ก่อน ขั้นตอนนี้เรียกว่าเราต้องช่างสังเกต และเปิดใจฟังเขาก่อนมากกว่ารีบไปยัดเยียดให้เขา (คำว่า "ชวน" กับคำว่า "เชิญ" หรือคำว่า "ให้ข้อมูล" นั้นความหมายต่างกัน คำว่า "ชวน" เขาจะกลัวและรีบปฏิเสธไว้ก่อน ต้องใจเย็น ๆ)

พอรู้ปัญหาหรือจุดด้อยจุดแข็งของเขาแล้ว ก็หาโอกาสเสนอวิธีแก้ ด้วยวิธีแบบบุญ ๆ เช่นเชิญชวนสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิที่บ้านเขา สักวันละ 5-10 นาที แต่เราต้องมีสื่อเช่นลำโพงเสียงตัวอย่างการสวดมนต์ หรือนำนั่งสมาธิ หรือสอนให้ภาวนา และหนังสือสวดมนต์เป็นต้น 

ขั้นต่อมา ก็มอบให้ด้วยความสุภาพ และดีใจ ปลื้มใจที่เขาจะได้สิ่งดี ๆ ไว้ติดบ้านของเขา และครอบครัว แต่เริ่มที่ตัวเขาก่อนใคร

ขั้นต่อมา ก็ต้องบริการหลังการขาย คือโทรถามพูดคุยแบบห่วงใย ถามปัญหาที่เขาพบและปัญหาอุปกรณ์การสวดมนต์หรือสภาพภายในครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง สวดตอนไหน ใครสวดบ้าง แล้วแผ่เมตตาไหม หลับดีไหม ฯลฯ

ขั้นต่อมา ก็แวะเวียนไปเยี่ยมเขาบ้าง เมื่อมีโอกาส เพื่อเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขาและครอบครัว  และอย่าลืม ทาน(มีของติดมือ) ปิยวาจา อัตถจริยา(วางตัวเหมาะสม)และเสมอต้นเสมอปลาย) 

ขั้นตอนสุดท้าย คือติดตามผล ประเมินผล ถ้าเขามีแววเป็นผู้นำ ก็ให้เขาทำเลียนแบบที่เราทำมาแต่ต้นนั่นแหละ

ทำแบบนี้เรียกว่า"ซื้อขายบุญ"หรือเปล่า ? เพราะมัน ง่ายกว่าขายสินค้าอีกนะ...?แหล่งภาพจาก DMC

เนื่องจากการทำแบบนี้ เราจะได้บุญเป็นวิทยาทาน แต่ถ้าเราขายบุญ แนะนำบุญ (พลังงานบริสุทธิ์) หรือความดี ก็ถือว่าเราจะได้ธรรมทาน ซึ่ง การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง เพราะเมื่อเขารับแล้ว เขาสะอาดบริสุทธิ์ (ไม่ทำบาปด้วยกาย วาจา ใจ) มากขึ้นเป็นหนทางมุ่งสู่หนทางพระนิพพานมากขึ้น เราก็จะได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย

นี่แหละ วิธีขายบุญที่สังคมคิดว่า ศิษย์วัดพระธรรมกาย ทำกัน ก็เป็นอย่างนี้จริง ๆ นะ ไม่ได้เปิดตำรามาเขียน เพราะทำอย่างนี้จริง ๆ ขอบคุณสื่อที่ทำให้หวนคิดถึงความรู้เดิม ๆ ได้นำมาใช้ใหม่ได้ดีกว่าเก่า !!!!

แล้วทำแบบนี้เรียกว่า"ซื้อขายบุญ"หรือเปล่า ? เพราะมัน ง่ายกว่าขายสินค้าอีกนะ...?

ส่วนว่า เมื่อพบเจอคำถาม จะมีเทคนิคตอบอย่างไร ? จะนำมาเล่าให้ฟังใหม่นะ เดี๋ยวจะยาวเกินไป ไม่อยากอ่าน

กระดิ่งช่อฟ้า

24 พ.ค. 2560 เวลา 17.09 น.

แชร์