เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ คนชนะคือคนที่ตามการเปลี่ยนแปลงทัน
อารมณ์และความรู้สึกคือสิ่งที่มีผลต่อการขับเคลื่่อนโลก 

"ชัชชาติสิทธิพันธุ์"ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮาส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามกฎ Moore′law ที่ทำนายว่าทรานซิสจะเพิ่มขึ้นทุก 2 ปี ข้อมูลข่าวสารจากที่ต้องหาจากห้องสมุดก็จะไปอยู่บนระบบคอมพิวเตอร์ รูปแบบข้อมูล (Platform) ไม่ต้องมีคนควบคุม เพราะขยายได้อย่างรวดเร็ว เข้าใช้งานในระบบได้และสะท้อนความคิดเห็นได้ ซึ่งธุรกิจเดิมทำไม่ได้ ขณะเดียวกัน คนไม่เปลี่ยนแปลงแต่เน้นที่การตัดสินใจด้านอารมณ์มากขึ้น

"อีอีซี (ระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก) ผมว่าที่ติดหล่มหลาย 10 ปีก็มาจากอารมณ์" ดร.ชัชชาติกล่าว และว่า รวมถึงโซเชียลมีเดียหากเป็นการทำลายสามารถทำได้แต่ร่วมกันสร้างใหม่ไม่สามารถทำได้หาข้อยุติได้ยากเช่นเดียวกับการเลือกตั้งใหม่คนในพื้นที่ก็จะใช้อารมณ์มากขึ้นเช่นกัน

นอกจากเขากล่าวด้วยว่า คนจะหันมาไว้วางใจเครือข่ายเดียวกันเช่น รีวิวในพันทิพ ไลน์ ซึ่งบริษัทต้องมอนิเตอร์ให้มากขึ้นส่วนการทำลายความคิดสร้างสรรค์(Creative Destruction) ปัญหาคือปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากทำให้ธุรกิจS-Cave สั้นลงนอกจากนี้ยังมีธุรกิจมีการแข่งขันไร้พรมแดน เช่น Agoda booking ที่มาการจองห้องพักโรงแรมออนไลน์ เป็นต้น 

"เรื่องคนรับมือยากยิ่งกว่าเทคโนโลยี ความต้องการของมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยน แต่อารมณ์และความรู้สึกที่เปลี่ยน สิ่งที่จะมีผลต่อการขับเคลื่อนโลก คืออารมณ์คนครับ อีโมชั่น มิติการค้าอย่างอสังหาฯเราทำภาพบ้านสวยๆ ให้เห็น เป็นอีโมชั่นแต่ความจริงเราอาจต้องฝ่ารถติดน้ำท่วมอะไรก็ว่าไป นั่นคือมิติการค้า แต่มิติของประเทศจะยากยิ่งกว่า เราจะเจอการชนกันระหว่างอารมณ์กับวิทยาศาสตร์่เช่น ถ่านหินที่กระบี่เราจะเจอกับอารมณ์คนที่ไม่ไว้ใจไม่เชื่อ แต่เป็นเทคโนโลยีที่สะอาด"

"กรณีโซเชียลมีเดียทำได้ครึ่งทางคือทำลาย แต่จะสร้างขึ้นมาหรือหาข้อยุติจากโซเชียลมีเดียทำได้ยาก เช่่น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโค่นระบบการบริหารด้วยโซเชียลมีเดีย แต่ไม่สามารถใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างได้"นายชัชชาติกล่าว และว่า โซเชียลมีเดียมีพลังทำสิ่งง่ายๆร่วมกัน พาเราไปได้ครึ่งทาง ดังนั้นโซเชียลมีเดียมีพลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่หลังจากนั้นปฏิรูปโซเชียลมีเดียทำได้ยากแล้ว อย่าง อีอีซี (เขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก) ที่ทำตอนนี้พอหมดรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเลือกตั้งขึ้นมา เราจะเห็นอารมณ์คนในพื้นที่มากขึ้น เราต้องหาวิธีให้พัฒนาร่วมกันให้ได้"

งานในอนาคต (The future of Jobs) ธุรกิจจะมีการใช้คนน้อยลง โดยมีสัญญาณในปี 2017 ที่มีบัณฑิตจบปริญญาตรีตกงานกว่า 1แสน 6 หมื่นคน เพราะฉะนั้นจะต้องรับมือการเปลี่ยนแปลงในอนาตด้วยการช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีมีความเข้มแข็งขึ้น หาความรู้เพิ่มเติม ปรับการศึกษา ค้นคว้าวิจัยและใช้นวัตกรรมต่อยอดธุรกิจ

"ในอนาคตเทคโนโลยีจะใช้คนน้อยลง และ 72 เปอร์เซ็นต์ในไทย มีโอกาสถูกทดแทนด้วยระบบออโตเมชั่น ซึ่งไทยเป็นอันดับ10 ของกลุ่มประเทศพัฒนา เพราะอุตสาหกรรมเราไม่ได้พึ่งพิงเทคโนโลยีสูง เป็นระดับกลางๆ ดังนั้นวันนี้มีสัญญาณแล้วว่าปี 2017 คนจบปริญญาตรีตกงานมากที่สุด ตัวนี้ต้องระวังด้วยว่าอนาคตจะเป็นปัญหาอย่างไร

สำหรับไทยแลนด์ 4.0 ตนมองว่าเป็นนโยบายที่ดีปรับตัวเข้ากับโลก แต่เราจะหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้อย่างไร ซึ่งถ้าดูสถิติตัวเลขต้องใช้เวลาถึง 23 ปี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องมาระดมความคิดร่วมกัน 

"ใจผมว่าอย่าไปเห่อสตาร์ทอัพมาก มันเห่อเป็นกระแส มันไม่ได้ช่วยเซฟเศรษฐกิจได้ ต้องไปดูเอสเอ็มอีที่มีจำนวนมากให้เขาแข็งแรงขึ้นเข้มแข็งขึ้น"นายชัชชาติกล่าว

อ่านข้อมูลทั้งหมดที่http://www.prachachat.net/webmobile/news_detail.php?newsid=1495706042