เหตุแห่งภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่มนุษย์กำลังเผชิญหน้า และวิธีแก้ไข ตามหลักพุทธศาสนา
ปัจจุบันเราจะเห็นหน้าข่าวจากทั่วโลก ที่ทวีรุนแรงมากยิ่งขึ้น มนุษย์กำลังเผชิญหน้ากับภัยจากมนุษย์ด้วยกันเองและภัยทางธรรมชาติ ที่รุนแรงเพิ่มขึ้นทั่วทุกมุมโลก ทั้งอากาศร้อนจัด หนาวจัด เกิดพายุแผ่นดินถล่ม น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยแล้ง http://winne.ws/n15915
นักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้วิเคราะห์ สาเหตุและสนับสนุนสมมุติฐาน ที่ว่าความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ ที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้สารเคมี การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศ อันเป็นผลพวงจากการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมบางท่านกล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามวัฏจักรทางธรรมชาติ ซึ่งในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
ส่วนในทางพระพุทธศาสนา ชี้ให้เห็นว่า ความเสื่อมทั้งหลายที่เกิดขึ้นล้วนสัมพันธ์กับการกระทำของมนุษย์ คือ เมื่อมนุษย์ทำผิดศีลก็จะทำให้อายุมนุษย์น้อยลงตามลำดับ ดังปรากฏในจักกวัตติสูตร ดังนี้
การกระทำของมนุษย์นี้ยังสัมพันธ์ไปถึงการสิ้นสุดของโลก กล่าวคือ
ในกระบวนการทำลายล้างโลกให้หมดสิ้นไปในแต่ละช่วงของวัฏจักรแห่งการเกิดขึ้นและดับไปของโลกนี้ ท่านกล่าวถึงกระบวนการทำลายโลกไว้ว่า ขึ้นอยู่กับจิตใจของมนุษย์ว่าหนาแน่นไปด้วยกิเลสตระกูลใดมากที่สุด
ถ้าหนาแน่นไปด้วยกิเลสตระกูลโทสะ โลกก็จะถูกทำลายด้วยไฟ
ถ้าหนาแน่นไปด้วยความโลภ โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ และ
ถ้าหนาแน่นด้วยกิเลสตระกูลโมหะ โลกก็จะถูกทำลายด้วยลม
ความเสื่อมที่ปรากฏขึ้นแก่โลกใบนี้ ในทางพระพุทธศาสนาชี้ให้เห็นว่าล้วนเกิดขึ้นจากจิตใจของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ห่อหุ้มไปด้วยกิเลส ส่งผลให้เกิดเป็นการกระทำทุจริตทั้งทางกาย วาจา และใจ และนั่นคือบ่อเกิดแห่งหายนะทั้งปวง ซึ่งความจริงข้อนี้เราทั้งหลายก็คงจะเห็นประจักษ์ในสภาพสังคมปัจจุบัน ที่มีทั้งการฆ่า การชิงรักหักสวาท การทำแท้ง การมีชู้ หรือการด่าว่าให้ร้ายผู้มีศีลโดยไม่เกรงกลัวบาป ซึ่งทำให้เราได้เห็นสภาพจิตใจของมนุษย์ที่นับวันจะเสื่อมจากศีลธรรมมากยิ่งขึ้น จึงไม่ต้องแปลกใจหากภัยต่าง ๆ นั้น นับวันจะทวีความรุนแรงตามกลไกที่เป็นไปตามวัฏจักรแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปของโลกใบนี้
ดังนั้น หากเรามุ่งหวังจะแก้ไขสภาพธรรมชาติที่กำลังผันแปรอย่างรุนแรงนี้ ก็มีหลักการทางพระพุทธศาสนาที่เป็นแง่คิดมุมมองในการใช้ชีวิตดังนี้
๑) ทุกคนต้องรีบทำแต่กรรมดีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะการเกิดมามีโชคดีในชาตินี้เนื่องจากกรรมในอดีตส่งผล ให้เราพึงคิดว่าผลของกรรมดีมีวันสิ้นสุด ดังนั้นเราจึงต้องเร่งสร้างกรรมดีให้เจริญมากที่สุด เพื่อติดเป็นนิสัยไปทุกภพทุกชาติ
๒) ต้องไม่ก่อกรรมชั่วใหม่อย่างเด็ดขาดเพราะตระหนักถึงผลร้ายที่จะติดตามมาทั้งแก่ตนเอง เพื่อนร่วมโลก และสิ่งแวดล้อม
๓) ต้องไม่อยู่เฉยโดยไม่สร้างกรรมดีอะไรเลย พึงระลึกเสมอว่าการอยู่เฉย ๆ นอกจากไม่มีกำไรแล้ว ยังเป็นการเอาต้นทุนเก่ามาใช้ ซึ่งมีแต่จะหมดไปทุกวัน
๔) ต้องใช้ร่างกายอันเป็นที่อาศัยของใจให้คุ้มค่ามากที่สุด แม้ว่าร่างกายจะสมบูรณ์หรือไม่ก็ตาม ยังสามารถใช้สร้างกรรมดีได้อย่างมากมาย ต่างกับร่างกายของสัตว์ดิรัจฉานแม้จะสมบูรณ์แข็งแรง แต่ก็ยากที่จะใช้สร้างความดีให้แก่ตัวเองได้
เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว ก็ให้ตั้งใจทำความดีอย่างเต็มกำลัง ทั้งการ ทำทาน การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา รวมทั้งประพฤติปฏิบัติต่อผู้มีศีล ด้วยใจที่ประกอบด้วยเมตตา รักษาศีลเพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ และสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในสังคม และหมั่นสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิทุกวัน เพื่อพัฒนาความเจริญทางกายกับทางใจให้ไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงของมนุษย์ คือทำพระนิพพานให้แจ้ง เมื่อนั้นภัยร้ายทั้งหลายที่กำลังคุกคามมวลมนุษยชาติ ก็จะสงบเย็นลง และโลกใบนี้ก็จะกลายเป็นสถานที่รองรับการทำความดีของมนุษย์ผู้มีบุญต่อไป
จากหนังสือ GL 101 จักรวาลวิทยา
ที่มา: https://www.dmc.tv/pages/top_of_week//กลวิธีแก้ไขความผันแปรของสภาพอากาศโลก.html