ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

คำ ๆ นี้เราอาจคุ้นเคย คงขำขำ หากใครได้ยิน แต่คำ ๆ นี้ เมื่่อใครประสบพบเจอกับเหตุการณ์จริง "คงขำไม่ออก" เรื่องรอดตายเหมือนควายขวิดนี้ เกิดขึ้นกับผมเอง เย็นวันที่ 16 มีนาคม 2554 ซึ่งกับตรงวันรวย หรือ วันซวยของใครหลาย ๆ คน http://winne.ws/n15980

2.5 พัน ผู้เข้าชม
ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

"รอดตาย ...เหมือนควายขวิด"

การได้โอกาสในการมาสร้างบารมี ...เป็นการได้โอกาสที่ประเสริฐที่สุด ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ดังเช่นเรื่องราว #เฉียดตาย ที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

"รอดตาย ...เหมือนควายขวิด"

          คำ ๆ นี้เราอาจคุ้นเคย คงขำขำ หากใครได้ยิน  แต่คำ ๆ นี้ เมื่่อใครประสบพบเจอกับเหตุการณ์จริง "คงขำไม่ออก"  เรื่องรอดตายเหมือนควายขวิดนี้ เกิดขึ้นกับผมเอง  

          เย็นวันที่ 16 มีนาคม 2554 ซึ่งกับตรงวันรวย หรือ วันซวยของใครหลาย ๆ คน คอหวยคงซาบซึ้งกันดี  ในเย็นวันนี้เองหนุ่มน้อยบ้านนาแพ็คกระเป๋าเสื้อผ้า เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อไปร่วมแสดงความยินดี กับน้องสาวคนเดียวของครอบครัว 

ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

         เนื่องในวันแต่งงาน  ตกเย็นก็มีรถตู้มารับถึงหน้าที่พัก  หนุ่มน้อยบ้านนาเอากระเป๋าเสื้อผ้าใส่ท้ายรถ มือขวาเปิดประตูรถตู้เตรียมตัวนั่งหวังใจไว้ว่านั่งเบาะท้ายดีกว่า "จะได้นอนเหยียดยาว"  

        เนื่องจากวันนี้คนคงไม่เต็มคัน  ตอนนั้นคิดอย่างนั้นจริง ๆ แต่พอก้าวขึ้นกำลังจะลงนั่งก็เกิดอยากเปลี่ยนใจ เราขยับไปเบาะหน้าหน่อยจะดีกว่าไหม เพราะรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก  

       โชเฟอร์รถพาขับวิ่งวนชมกรุงเทพมหานคร ยามค่ำคืนอย่างเต็มตา  จนตาปรือ  มีชายต่างวัยขึ้นรถมานั่งแทนที่เบาะหลัง 2 คน อายุอานามก็ไม่ต่างกันมาก  คุณลุงคนที่นั่งชิดหน้าต่างฝั่งขวามือผมน่าจะอายุราว ๆ  60 - 65 ปี  

         ส่วนคนที่อยู่ด้านหลังผมอายุน่าจะราว ๆ 50 ประมาณนี้ ดูจากใบหน้าและท่าทาง  กว่าจะเคลื่อนตัวออกจาก กทม. ได้เวลาก็ล่วงเลยมาราว  ๆ  4 ทุ่มกว่า ๆ ซึ่งก็เป็นเวลานอนพอดี  

ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

          หนุ่มน้อยบ้านนาไม่รอช้าปรับเบาะเอน หลังหลับตาเบา ๆ ผ่อนคลาย  หลับอย่างสบาย   อ้อลืมบอกไปว่า ได้รับของขวัญเป็นพระประธานแก้วใส พระธรรมกายรุ่นแรกที่มีฐานสีแดงเขียนด้านหน้าฐานว่าพระธรรมกาย  หน้าตักประมาณ 9 นิ้ว ราว ๆ นี้  

         หนุ่มน้อยบ้านนาได้อาราธนาพระประธาน อยู่ในภาชนะคือถุงสีเหลี่ยมหนาแน่นอย่างดี  แขวนไว้ที่หลังเบาะคนหน้า แล้วพระประธานก็หันหน้ามาทางหนุ่มน้อยบ้านนาพอดี  

        หนุ่มน้อยบ้านนาหลับตาลงอย่างสบาย โดยไม่สนใจว่าจะถึงไหนแล้ว  รุ่งเช้าของวันที่ 17 มีนาคม 2554 ฤกษ์งามยามดีตรงกับ วันแต่งงานของน้องสาวพอดีเลยครับ

ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

        เวลา 5.30 น.โชเฟอร์ก็พาแวะพักที่ปั้ม ปตท. แถว ๆ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ หนุ่มน้อยบ้านนาได้ลงไปล้างหน้าล้างตา ดื่มน้ำ ปัสสาวะเป็นที่เรียบร้อย  ก็กลับมาขึ้นรถที่เดิม  แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือ ความสดชื่น "ได้หมดถ้าสดชื่น" ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า  

        ร่างกายกำลังพอดี  ถ้าได้นั่งสมาธิสักหน่อยก็น่าจะดีนะ  เมื่อทุกอย่างลงตัว รถตู้ 14 ที่นั่งค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากปั้มอย่างช้า ๆ พร้อมกับหนุ่มน้อยบ้านนา ยกขาขวา กับ ขาซ้ายขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเบาะ  จำได้แม่นมาก ๆ เลยว่า ทันทีที่หลับตาลง  

         "ภาพทางใจ" ที่ปรากฎฉายในใจนั้นชัดมาก ปกติไม่เคยนึกอะไรได้ชัดขนาดนี้  ภาพที่ปรากฎเกิดขึ้นในใจ เป็นภาพรูปหล่อทองคำหลวงปู่องค์ที่ 1 ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดปากน้ำ  ณ ปัจจุบัน 

        ฉากหลังหลวงปู่ทองคำ เป็นพระมหาธรรมกายเจดีย์สีทองเหลืองอร่าม   ภาพนี้เคยเป็นภาพที่อยู่ด้านหน้าปฏิทินปีใหม่ แบบแขวนติดผนัง  ปีไหนสักปีนี่แหละจำไม่ได้แล้วครับ  

         ภาพที่นึกชัดอยู่สักพักก็เลือนลางหายไปพร้อมกับใจที่ผ่อนคลาย รู้สึกสบาย อย่าง เบา ๆ  สี่ล้อค่อย ๆ เลื่อนผ่านปั้ม ปตท. นางรอง ออกอย่างช้า ๆ โชเฟอร์ค่อยขับเบี่ยงขวาไปอย่างไม่เร่งรีบนัก  ราว 5 นาที มีเสียงดังมาจากด้านท้ายของรถตู้  (ตอนนั้นผมหลับตา แต่ไม่ได้หลับนะครับ มีสติดี)  เสียงดังตูม !!! พร้อมกับมีเศษอะไรเล็ก ๆ ปลิวมาปะทะกับหัวผมเอง 

ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

         ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันเชื่องช้า จนเรารับรู้ และ รับรู้ได้ทั้งหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว รถตู้ที่เตรียมหยุดเนื่องจากสัญญาณไฟแดงพอดี  แต่กลับไม่ได้หยุดอย่างที่ควรจะเป็น 

        รถตู้ค่อย ๆ ไหลไปอย่าง Slow life . ด้วยแรงส่งของวัตถุลึกลับจากด้านหลัง  จนจอดสนิทชิดริมฟุตบาท ห่างจากจุดที่มีเสียงดัง ราว ๆ  100 เมตร  ทันทีที่รถจอดนิ่งสนิท เพียงไม่เกิน 3 วิ เท่านั้น เสียงระงมดังอึกทึกอื่ออึง มีหลายภาษา 

        อย่างกะไปอาเซี่ยน ทั้งเขมร ส่วย ลาว ไทย ต่างคนก็ต่างอุทานออกมาเป็นภาษาที่เขาคุ้นเคย  เสียงร้องเรียกหาพ่อ หาแม่ หาปู่ย่าตาทวด ให้ช่วยดังจบแทบฟังไม่ได้ศัพท์  คนที่นั่งเบาะหน้าผม  ยังคงหลับสนิท ศิษย์ส่ายหน้าด้วยแรงกระแทกจากด้านหลังชนเบาะด้านหน้า  #สลบเหมือด  

        เสียงเหล่านี้ไม่ได้ผลกระทบอะไรกับใจของผมเลย  ตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกว่าตัวเองนิ่งมาก  นิ่ง จริง ๆ เป็นคนเดียวในรถที่ยังมีสติ ลงจากรถมาช่วยเหลือคนที่อยู่ในรถได้  พอรู้แล้วว่าเมื่อกี้เสียงที่เราได้ยินดัง ตูม นั้นไม่ใช่เสียงอะไร

      เป็นเสียงรถสิบล้อหลับในนี้เอง  อัดท้ายรถตู้แบบแนบสนิทชิดใกล้  ผมไม่มีความรู้สึกตกอกตกอะไรเลย  "แปลกดีแฮะ"  ปกติจะต้องตกใจตื่นด้วยความกลัว สับสน มึนงง อย่างแน่นอน  แต่นี่กลับไม่มีความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นเลยแม้นแต่น้อย  จึงทำให้ผมสามารถค่อย  ๆ ทยอยช่วยเหลือคนที่อยู่ในรถให้ลงจากรถเกือบหมดได้

         ยังมีก็แต่เพียงชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่เบาะหลังที่ผมเคยคิดจะไปนั่งแต่ก็เปลี่ยนใจ  และมีลุงที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของเบาะหลัง 2 คนเท่านั้น ที่ออกมาจากรถไม่ได้  เพราะอะไรน่ะหรือ  เพราะขาทั้งสองข้างของทั้งสองคน ที่ห้อยลงมาเวลาลงนั่ง

        ถูกม้วนพับอยู่ใต้เบาะจากแรงกระแทกจากด้านหลัง  จนชิดเบาะหน้า  ขาขวากับขาซ้ายหักและถูกเหล็กจากเบาะกดทับอีกที เป็นอะไรที่สยองมาก เสียงร้องขอความช่วยเหลือของทั้งสองชาย ยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง  ผมพยายามเข้าไปช่วยงัดแล้ว

ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

       แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากเหล็กเบาะรถม้วนงอทับขา ทั้งสอง ข้าง ของทั้งสองชาย   จึงมิอาจช่วยเหลือได้ รู้สึกแย่เหมือนกันที่เราไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้  ได้แต่รอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย มาใช้เครื่องมืองัด ตัด ถ่าง  

        ผมได้แต่ "ทำใจ" ขอให้ทั้งสองท่านปลอดภัย  หลังจากนั้นก็มีรถพยาบาลมารับผู้บาดเจ็บส่งไปรักษาตัวที่ รพ.หนองกี่  รวมทั้งผมเองด้วย  เมื่อถึงโรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บต่างก็ได้รับการรักษาจนปลอดภัย บ้างก็ คิ้วแตก ปากแตก มึน ๆ งง ๆ ขาถลอก  

        ส่วนผมเองนั้น  เศษวัตถุลึกลับที่กระเด็นมาปะทะที่ท้ายศรีษะ ไม่ใช่อะไรเป็นเศษของกระจกรถที่แตกกระเด็นมาปักตรงท้ายทอยพอดี คุณหมอพยาบาลก็พยายามแกะกระจกออกอย่างถนุถนอม  

       แต่อัศจรรย์  ไม่ต้องทำแผลอะไรเลย  แค่ทายาแดง  ผมนึกว่าจะต้องเย็บซะแล้ว  (ลืมบอกไปผมติดเข็มกลัดแขวนพระรุ่นปราบมารแสตนด์เลส ปี 40 ไว้กับตัว )  

      เสียงโทรศัพท์จากทางบ้านดังขึ้น  เพราะว่าได้ฤกษ์ที่จะต้องเคลื่อนขบวนขันหมากแล้ว  ผมหาวิธีการที่จะพูดอย่างไร เพื่อให้ทางบ้านไม่ต้องเป็นห่วง  ก็ได้ตอบไปว่า  ตอนนี้รถเสีย  น่าจะอีกนานกว่าจะซ่อมเสร็จ (เสียจริง ๆ เสียหายยับเยิน)

         ทางบ้านพอได้ยินก็บอกว่า  ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเจอกันที่บ้านเจ้าบ่าวนะ  เช้าก็แล้ว สายก็แล้ว  บ่ายก็แล้ว ผมยังคงตอบกับทางบ้านไปเช่นเคย ว่ารถเสีย  ตอนนี้รอรถคันใหม่มารับอยู่   

        ระหว่างนั้นเองผมก็ไปหากระเป๋าสัมภาระที่สถานี หลังจากรถตู้ถูกเคลื่อนย้ายมาที่สถานีแล้ว  กระเป๋าล้อลากสีเงิน บุบบู้บี้ (ตามภาพ)  แต่ยังดี ที่สัมภาระข้างในยังอยู่ ราว ๆ บ่ายโมงนิด ๆ ก็มีรถตู้คันใหม่มารอรับที่หน้าโรงพยาบาล  

        ดีใจจังจะได้กลับบ้านแล้ว  ระหว่างทางที่นั่งรถตู้กลับบ้านก็มีเสียงโทรศัพท์จากหมู่ญาติ โทรมาถามด้วยความเป็นห่วงอย่างตลอดต่อเนื่อง   กำลังไปน่ะ อาจจะถึงบ่าย ๆ หน่อย  ผมไปถึงบ้านราว ๆ บ่ายสามโมงเย็นกว่า  ไม่รอช้ารีบวางกระเป๋าแล้วก็เดินทางไปร่วมแสดงความยินดี กับน้องสาวที่บ้านเจ้าบ่าวต่อทันที  

        ไปถึงพิธีก็เสร็จหมดเรียบร้อยหมดแล้ว  ไปได้ทันแค่ถ่ายรูปกับน้องสาวและครอบครัว เป็นที่ระลึก  แต่  ไม่มีใครรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงเลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับเรา   ผมกะไว้ว่าเอาไว้หลังงานค่อยเล่าให้ฟัง  เพราะได้เอามือถือ สมัยนั้นเป็นแบล็คเบอรี่  ถ่ายรูปเหตุการณ์ทั้งหมดเก็บเอาไว้  

ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

         เช้าวันใหม่ วันที่ 18 มีนาคม 2554 พ่อ แม่ พร้อมหมู่ญาติต่างก็ทยอยช่วยกันเก็บงานจนเกือบจะเสร็จ  ในระหว่างนั้นผมเห็นว่าหมู่ญาติอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา  จึงเข้าไปเตรียมโน้ตบุ้ค  เอาภาพจากมือถือลงเครื่อง  

        แล้วเรียกญาติ ๆ มารวมตัวกัน  พร้อมกับเปิดภาพ (ดังภาพ) ให้ญาติ ๆ ดู  ขออภัยทุกคนด้วยนะเมื่อวานที่มาช้า  (ส่วนหนึ่งเกรงว่าจะมีญาติบางท่านอาจไม่เข้าใจเรา ก็เลยต้องมาอธิบายเพื่อให้ทุกคนสบายใจ)  แต่ ใบหน้า แววตา ของผู้หญิงคนที่ผมรักคนหนึ่ง แดงก่ำ พร้อมกับหยดน้ำตาที่ค่อย ๆ 

        รินไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง  แม่ผมเองครับ "แม่ร้องไห้" ผมก็จุกไปเหมือนกัน  ไม่มีเสียงถามไถ่อะไรจากหมู่ญาติ เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าเราพึ่งผ่านเหตุการณ์อะไรมา  

        วันนั้นเป็นวันเก็บงาน แต่เป็นวันที่หมู่ญาติ มาให้กำลังใจเราด้วยการผูกข้อไม้ข้อมือ ทำบายสีสู่ขวัญให้ตามประเพณีท้องถิ่น  ซึ่งก็ทำให้เรามีกำลังใจเพิ่มขึ้น  ได้ข้อคิดเพิ่มขึ้นว่า หากวันนั้น เราไปนั่งเบาะท้าย  ชายคนที่ต้อง "ตัดขาทั้งสองข้างทิ้ง"  #คงเป็นเรา   

ดั่งปาฏิหาริย์ ผม.."รอดตาย..เหมือนควายขวิด"

        โอกาสที่จะได้ใช้มาสร้างบารมีเฉกเช่นทุกวันนี้  .... คงอาจไม่มี อีกต่อไป    ทุกท่านครับทุกท่านเป็นผู้ที่โชคดีมากกว่าคน  7 พันกว่าล้านคนบนโลกใบนี้   จงใช้โอกาส ร่างกาย จิตใจ กำลังทรัพย์ที่มี  กำลังสติปัญญาได้ และ เวลาที่เหลืออยู่  ทุ่มเท อย่างเต็มที่เต็มกำลัง

         ปล....ภาพจริง เหตุการณ์จริง  ที่เก็บไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจทั้งเราและผู้อื่นเพื่อให้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต

#แต่การได้เจอหมู่คณะเป็นเรื่องที่โคตรยาก

kapowkaidow

๒๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๐

แชร์