คำตัดสิน กรณีขวดน้ำอัดลม”เอส”ระเบิดใส่น.ศ. เลนส์ตาซ้ายแตก ศาลสั่ง”เสริมสุข”ชดใช้กว่า 2 ล้าน

คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2557 โจทก์ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ อยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและดวงตาซ้ายเนื่องจากขวดแก้วบรรจุน้ำอัดลม(เอส)ระเบิดระหว่างที่โจทก์ หยิบขวดน้ำอัดลม http://winne.ws/n16100

1.2 พัน ผู้เข้าชม
คำตัดสิน กรณีขวดน้ำอัดลม”เอส”ระเบิดใส่น.ศ. เลนส์ตาซ้ายแตก ศาลสั่ง”เสริมสุข”ชดใช้กว่า 2 ล้านขอบคุณภาพจาก ความรู้เรื่อง forex

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

ในคดีที่นายธีรเกียรติ เจริญบัณฑิตสกุล ผู้เสียหาย เป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บมจ.เสริมสุข เป็นจำเลยต่อแผนกคดีผู้บริโภค ในศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำ ผบ.1500/2558 เรื่องละเมิด เรียกค่าสินไหมทดแทนประกอบด้วย ค่าพยาบาลรักษาตัว, ค่าขาดโอกาสทางการศึกษา,ค่าขาดรายได้จากการทำงาน และค่าสูญเสียความสามารถในการประกอบอาชีพในอนาคต เนื่องจากสูญเสียการมองเห็นดวงตาข้างซ้าย และค่ารักษาพยาบาลในอนาคต รวมเป็นเงิน 10,897,000 บาทและดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2557 โจทก์ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ อยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและดวงตาซ้ายเนื่องจากขวดแก้วบรรจุน้ำอัดลม(เอส)ระเบิดระหว่างที่โจทก์ หยิบขวดน้ำอัดลมจะไปส่งให้กับลูกค้า แต่เกิดระเบิดทำให้เศษแก้วพุ่งเข้าใส่ใบหน้าโจทก์อย่างแรง ระหว่างโจทก์เข้ารักษาอาการที่โรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นว่า เลนส์ตาซ้ายแตก จึงยื่นฟ้องจำเลยในฐานะผู้ประกอบการต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย โดยการผ่าตัดยังไม่สามารถทำให้โจทก์มองเห็นได้ตามปกติ

ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว มีตัวโจทก์ และเพื่อนพนักงานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ตามวันเวลา เกิดเหตุ โจทก์ได้นำใบสั่งเครื่องดื่มที่ลูกค้าสั่ง มาแล้วเพื่อนพนักงานได้นำน้ำอัดลมขวดแก้ว 3 ขวดที่ยังไม่ได้เปิด และไม่ได้ทำขวดตกพื้นหรือกระแทก มาวางไว้ที่ชั้นวางเครื่องดื่ม ระหว่างที่โจทก์ใช้มือซ้ายหยิบน้ำอัดลมขวดแรกและ ใช้มือขวาหยิบน้ำอัดลมขวดที่สอง ทันใดนั้นน้ำอัดลมขวดที่สองก็ระเบิด ซึ่งเพื่อนพนักงานได้ยินเสียงขวดระเบิดและเห็นโจทก์เอามือกุมไว้ที่ใบหน้า จากนั้นจึงพาไปที่โรงพยาบาล 

โดยยังมีพยานโจทก์อีกปากเบิกความว่า ร้านดังกล่าวจำหน่ายน้ำอัดลมจากจำเลยเพียงยี่ห้อเดียว โดยจะสั่งซื้อกับตัวแทนของจำเลย จะมีพนักงานของจำเลยเป็นผู้ขนส่งสินค้า ลงมาจากรถเพื่อนำไปเก็บในที่เก็บเครื่องดื่มของร้าน ที่มีหลังคาคลุมเรียบร้อย นอกจากนี้โจทก์ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องมือและวัสดุเบิกความสนับสนุนอีกว่า ลักษณะการหยิบขวดน้ำอัดลมของโจทก์เป็นไปในลักษณะปกติทั่วไป ขณะที่คำเบิกความของโจทก์และพนักงานในร้าน สอดคล้องกับภาพเหตุการณ์ที่เป็นพยานวัตถุ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนว่า ขวดน้ำอัดลมขวดที่สอง ที่โจทก์ใช้มือขวาหยิบจับตามปกติ เช่นวิญญูชนทั่วไปนั้นระเบิดขึ้นมาเอง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ

ส่วนที่โจทก์ นำพยานผู้เชี่ยวชาญ เบิกความถึงขบวนการผลิตสินค้าน้ำอัดลมด้วยว่า น้ำอัดลมที่ผสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะมีความดันในขวดสูง และการนำขวดแก้วมาบรรจุใหม่หลายรอบอาจชำรุดด้วยเหตุที่มีผู้ใช้รายก่อน ๆ นำขวดไปแช่แข็งหรือชำรุดจากการขนส่ง หรือ ขณะล้างขวด ถ้าหากนำขวดที่ชำรุดไปบรรจุน้ำอัดลมขวดอาจจะแตกขณะบรรจุทันที หรือแตกหลังบรรจุเมื่อจุดที่ขวดไม่สามารถรับแรงดันได้ 

โดยฝ่ายจำเลย มีพยานเบิกความถึงกระบวนการ ผลิตน้ำอัดลมว่าโรงงานผลิตสินค้าของจำเลยได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต จากหน่วยราชการ สินค้าผลิตโดยได้มาตรฐานสากลมีกระบวนการและกรรมวิธีผลิตที่สะอาด ปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ขณะที่ขวดแก้วเป็นการจ้างโรงงานบุคคลภายนอกเป็นผู้ผลิต มีมาตรฐานต้านทานต่อความดันและได้มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) นั้น 

ศาลเห็นว่าทางนำสืบของจำเลย ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าสินค้านั้นไม่ได้เป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย โดยเป็นการนำสืบให้เห็นเพียงว่า ขั้นตอนการผลิตของจำเลยมีขั้นตอนอย่างไร มีการตรวจสอบก่อนที่จะจัดจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอย่างไร แม้จำเลยจะนำสืบชี้ให้เห็นว่าสินค้าน้ำอัดลมของจำเลยเป็นสินค้าที่ปลอดภัยเพราะมีการผลิตตามมาตรฐาน มอก. แต่เหตุการณ์ที่ปรากฏตามภาพวัตถุพยานแสดงให้เห็นว่า สินค้าของจำเลยไม่ปลอดภัยเนื่องจากโจทก์ได้รับอันตราย จากการระเบิดของขวด ขณะที่โจทก์หยิบจัดขวดในลักษณะปกติทั่วไป

ขณะที่ศาลเห็นว่า การสุ่มตรวจเพื่อวัดแรงดันก๊าซในเวลา 30 นาที สุ่มตรวจ 2 ขวดเท่านั้นก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ขวดน้ำอัดลมทุกขวดจะมีความปลอดภัย จึงมีความเป็นไปได้ที่ขวดซึ่งมีความชำรุดบกพร่องโดย ไม่เห็นประจักษ์ด้วยตาเปล่า จะผ่านไปถึงขั้นตอนการผลิตน้ำอัดลมของจำเลย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักดีกว่า พยานหลักฐานของจำเลย เมื่อขวดน้ำอัดลมของจำเลยระเบิด ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ สินค้าของจำเลยจึงเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ตามพ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 มาตรา 4

ส่วนการกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้น เมื่อศาลพิเคราะห์จากใบรับรองแพทย์ และสรุปประวัติการรักษาพยาบาลที่แพทย์วินิจฉัยว่า ตาซ้ายแตก และเลนส์ตาแตก แพทย์ได้ผ่าตัดเย็บกระจกตา และลงความเห็นว่าตาซ้ายของโจทก์ ยังไม่ได้สูญเสียความสามารถในการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง ยังสามารถมองเห็นได้ในระดับ 6/60 ควรผ่าตัดใส่เลนส์ตาเทียมก่อน และประเมินการก่อเหตุอีกครั้ง หากโจทก์มองเห็นระดับที่น้อยกว่า 6/60 จะพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาอีกครั้ง 

แสดงว่า ด้วยตาซ้ายของโจทก์สามารถ ให้อาการบรรเทาลงได้ จึงเห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 1 ล้านบาท โดยสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษา เกี่ยวกับค่าเสียหายส่วนนี้ไว้จนกว่าการรักษาจะเสร็จสิ้น แต่ระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา ตามพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 40 พร้อมกับค่ารักษาพยาบาลการติดตามอาการ , ค่าเสียหายที่โจทก์จะรับเงินค่าตอบแทนจากการเป็นพนักงานเสิร์ฟ อีกเดือนละ 10,000 บาทนับ

ตั้งแต่วันเกิดเหตุที่ 18 พฤษภาคม2557 จนถึงวันฟ้องรวมจำนวนเงินส่วนนี้ 120,000 บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้น 1,410,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันเกิดเหตุ 18 พฤษภาคม2557 จนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียความสามารถในการประกอบอาชีพอีก900,000บาท โดยสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษา เกี่ยวกับค่าเสียหายส่วนนี้ไว้จนกว่าการรักษา จะเสร็จสิ้นแต่ระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี พร้อมทั้งให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีอีกด้วย 50,000 บาท

ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ขอให้กำหนด เพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากค่าเสียหายที่แท้จริงนั้น ศาลเห็นว่า กรณีที่ขวดน้ำอัดลมของจำเลยระเบิด จนทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นเพียงความประมาทเลินเล่อ หรือความบกพร่องจากกระบวนการผลิตเท่านั้น จำเลยในฐานะผู้ประกอบการไม่ได้กระทำโดยเจตนาหรือเกิดจากการ เอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภค ได้รับความเสียหาย กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 42

ที่มา: https://www.matichon.co.th/news/572920

แชร์