เงินทอน.. บัญชีเงินวัด : ช่องโหว่ที่ต้องอุด.. ต้องพูดภาษาคน
---------------------------

ว่าจะไม่กล่าวถึงเรื่องเงินทอน ให้กระเทือนใจกัน.. ก็ไปพบเห็นช่องโหว่ ที่สำคัญ..

ที่ทำให้วัดต่าง ๆ หลายวัด หรืออาจทั้งหมด ต้องยอมโอนเงินทอน ตามที่เจ้าหน้าที่อ้าง..

ตามข่าว นสพ. ไทยรัฐ ที่นำมาแสดงด้วยนี้.. ทำให้เห็นว่า เป็นจุดสลบของวัดต่าง ๆ ..

ตามข่าว พระท่านแจ้งว่า เจ้าหน้าที่จะเอาไปช่วยเหลือวัดในภาคใต้..

เป็นจุดที่วัดทั่วประเทศมองเหมือนกันว่า เป็นภาคที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ.. เนื่องจากมีวัดและชาวไทยพุทธน้อยลงเรื่อยๆ .. เพราะได้อ่านข่าวทั้งใน Facebook และใน Line เป็นประจำ.. รวมทั้งในช่วงปี ๒๕๔๔ เป็นต้นมา ได้มีการรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับวัดและชาวพุทธในภาคใต้ เสนอสำนักพุทธฯ รายงานคณะสงฆ์ทราบอยู่เป็นประจำ จึงพอได้ทราบความเป็นมาเป็นไปดี..

การกระทำต่อวัดและชาวไทยพุทธ เป็นเหตุให้วัดและชาวพุทธภาคอื่นๆ ตื่นตัวที่จะช่วยกันปกป้องทุกวิถีทาง แม้กระทั่งวัดพระธรรมกายเอง ก็มีกิจกรรมที่มุ่งถวายความช่วยเหลือวัดและชาวพุทธในภาคใต้ เป็นเวลาหลายปี อย่างต่อเนื่อง.. มาจนถึงปัจจุบัน..

จนบางข่าวของวัดพระธรรมกาย ก็ได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าฟังว่า ที่วัดพระธรรมกายถูกกระทำอยู่ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะวัดไปช่วยเหลือวัดในภาคใต้ตลอด ทำให้การขับไล่ไทยพุทธออกนออกพื้นที่ เป็นไปอย่างไม่สะดวก.. เท็จจริงอย่างไร ผมไม่ยืนยัน แต่เห็นว่า วัดพระธรรมกายดำเนินกิจกรรมเพื่อภาคใต้บ่อยมาก..

จุดนี้เอง จึงเป็นช่องโหว่อย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดกรณีเงินทอนขึ้นมา..

ถ้าเจ้าหน้าที่ไปอ้างว่า จะนำไปช่วยเหลือวัดในภาคใต้ โดยเฉพาะที่พักสงฆ์ที่ยังไม่เป็นวัด ซึ่งไม่สามารถจัดสรรเงินไปอุดหนุนได้ จำต้องอาศัยโอนให้วัดท่าน ในภาคต่างๆ ก่อน แล้วขอเอาไปช่วยเหลือที่พักสงฆ์ที่จะขอตั้งเป็นวัดต่อไป..

คิดว่า ถ้าทุกวัดได้ยินดังนี้ คงจะไม่มีรูปใดถามต่อ.. จะโอนเข้าบัญชีใคร อย่างไร.. ท่านคงไม่ถามถึง เป็นจุดบอดของพระ.. เพราะท่านจะไม่ถาม.. เพราะเชื่อในเจ้าหน้าที่..

ดังนั้น จึงขอกราบนมัสการทุกวัดว่า ถ้าเกิดมีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้นมาอีก .. ท่านไม่ต้องเกรงใจ ต้องซักถามให้ถึงผู้ใหญ่ในสำนักพุทธฯ ว่า จริงหรือไม่ ?

และไม่ใช่ถามจากแหล่งเดียว ให้ถามหลาย ๆ แห่งด้วย..

ปัจจุบัน การสื่อสารถึงกันนั้นไวมาก ท่านต้องใช้ให้เป็นประโยชน์.. หรือถ้าจะให้ท่านโอนกลับก็ต้องให้แจ้งเป็นทางการ คือ แจ้งทางหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร ให้ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงนาม.. เอาไปทำตามที่อ้างจริงหรือไม่.. รวมทั้งตรวจสอบกับลูกศิษย์ของท่านที่ทำงาน ในส่วนงานอื่นๆ ประกอบด้วย ก็จะดี..

การจะคิดว่า เป็นเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ จึงไว้ใจ.. คงจะไม่พอแล้วละครับ ..!

ท่านอาจตกเป็นจำเลยโดยไม่รู้ตัว ดังกรณีวัดที่ข่าวนำมาลงนี้.. รอบคอบไว้แหละดี..

ตามโบราณว่า เรื่องเงินทอง ไม่เข้าใครออกใคร.. ทำให้คนเสียคนมาเยอะแล้ว..

คงถวายข้อมูลไว้เท่านี้ก่อน..

-----------------------

อีกเรื่อง คือ การจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย ของวัด..

ต้องบอกกันตามตรงว่า พระท่านเกือบทุกวัด ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องภาษาบัญชี .. (แม้กระทั่งผมเอง)

อะไรเป็นเดบิต อะไรเป็นเครดิต ? ผมไม่ทราบหรอกครับ..

รู้แต่เพียงว่า เงินมี ๓ ประเภท คือ รายรับ รายจ่าย และเงินที่ยังมีอยู่ (จะเรียกว่า รายเหลือหรืออะไรก็ตาม) ถ้าเป็นรายรับใส่ช่องซ้าย รายจ่ายใส่ช่องขวา บวกลบเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน แล้ว เหลือเท่าไร..? จะลงวันที่อย่างไร ก็ตามแต่จะลง..

ถ้าใช้ช่องตามสมุดบัญชีที่ขายในร้านค้า.. ผมก็ใส่ไม่ถูก..

จึงเห็นว่า “ที่เป็นปัญหาไม่ใช่คนแล้ว แต่เป็น “ภาษา” และ “รูปแบบบัญชี” ที่ใช้มากกว่า..” ทำให้นักบัญชีกับวัดสื่อสารไม่ตรงกัน.. เหมือนพูดคนละภาษา..

พระท่านก็คงเป็นเช่นเดียวกัน หากท่านไม่ได้เรียนบัญชีมา..

ทางสำนักพุทธฯ ก็พยายามทำให้ง่ายแล้ว แต่คงอาจไม่พอ..

แปลงภาษาบัญชีให้เป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านแล้วทำได้.. นี่แหละคือโจทย์ที่เจ้าหน้าที่ต้องทำให้ได้.. ไม่ใช่แบบบัญชีที่เรียนมาเป็นอย่างนี้ ก็ให้ใช้ตามนี้.. แบบนี้ เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้..

แต่การทำรูปแบบบัญชี ให้คนที่ไม่รู้ระบบบัญชีสามารถทำได้ .. นี่แหละถึงจะเรียกว่า ทำงานด้วยสมอง..

ส่วนการที่จะให้วัดส่งมาเต็มร้อยนั้น ท่านต้องคิดถึงหลายส่วน.. คือ
๑. บางวัดมีแต่วัดและชื่อวัด แต่ไม่มีพระอยู่
๒. บางวัดมีพระอยู่ แต่ไม่ใช่เจ้าอาวาส หรือมีคุณสมบัติที่เจ้าคณะผู้ปกครองยังแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสไม่ได้ เช่น มีอายุพรรษาไม่ถึง ก็ตั้งเป็นเจ้าอาวาสไม่ได้ เป็นต้น
๓. ข้อมูลวัดเปลี่ยนแปลงบ่อย จากกรณีทั้ง ๒ ข้อ ข้างต้น
ฯลฯ

เรื่องเหล่านี้ หากนำมาคิดรวมด้วย ตัวเลขร้อยละที่ส่งบัญชี อาจเปลี่ยนไปได้..

เช่นเดียวกับ การสำรวจประชาชนในตำบล อำเภอ และจังหวัดหนึ่งๆ … ตัวเลขประชาชนจะไม่คงที่ทุกวันหรอกครับ มีการตาย ย้ายออก-เข้า ตลอดเวลา ต้องใช้ประมาณการ ณ เวลาหนึ่ง เท่านั้น..

ดังนั้น จึงมีการสำรวจประชากรในประเทศเพียงปีละครั้ง.. และถือตัวเลขนั้นเป็นหลัก.. แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ก็เอาตัวเลข ณ วันนั้น เป็นหลัก.. หากทำทุกเดือน เจ้าหน้าที่คงลาออกเป็นแถว..

ตรงนี้ อาจเป็นคำตอบว่า ทำไมวัดจึงส่งบัญชีไม่ครบทุกวัด..

แต่ถ้าวัดไม่ส่งกันจริงๆ เจ้าหน้าที่ไม่ต้องใช้หนังสือสำนักพุทธฯ ทวงหรอกครับ.. ทำสรุปเป็นรายจังหวัดไหน มีวัดไหนบ้างที่ไม่ส่ง.. แล้วรายงานมหาเถรสมาคมทราบ.. มส. ท่านทราบดีว่า ท่านจะมีมติอย่างไร เพื่อให้วัดส่งบัญชี..

ถ้าส่งมติ มส. ถวายเจ้าคณะจังหวัด และแจ้งวัดนั้นแล้ว.. หากไม่ส่งตามที่ มส. มีมติ.. รับรองได้ว่า.. “ไม่รอดถูกปลด”

การทำงานกับพระ ต้องระลึกไว้เสมอว่า ใครคือผู้มีอำนาจบังคับบัญชาวัดตามลำดับได้บ้าง.. ?

จะเสนอกฎหมายควบคุมทรัพย์สินของวัด ถามคนใช้บ้าง.. ก็ดีนะครับ.. !

เรียบเรียงโดย พิศาฬเมธ แช่มโสภา ป.ธ.๙ นักวิชาการอิสระ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1745821529050996&id=100008694968507

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องที่ผ่านมา : เงินทอน.. ออกกฎหมายดูแลควบคุมทรัพย์สินวัด : ตรรกะวิบัติ/เหตุผลอัปลักษณ์ ใช่หรือไม่?? http://www.winnews.tv/news/16412