สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ พร้อมด้วยเจ้าฟ้าชายชาร์ลส มกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินเปิดสมัยประชุมรัฐสภา หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเป็นไปตามธรรมเนียมของอังกฤษ ที่จะมีการพระราชทานกระแสพระราชดำรัสเปิดสมัยประชุม ซึ่งในพระราชดำรัสนี้จะแจกแจงกฎหมายที่รัฐบาลจะนำเข้าที่ประชุมสภาเพื่อพิจารณา และแนวนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล

              ในบรรดากฎหมาย 27 ฉบับที่สมเด็จพระราชินีนาถทรงกล่าวถึง มีถึง 8 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการนำอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งจะกระทบต่ออุตสาหกรรมและประเด็นสำคัญๆ ในอังกฤษ เช่นผู้อพยพ การทำประมง ความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ และการค้ากับอียู โดยสมเด็จพระราชินีนาถทรงย้ำว่ากฎหมายเหล่านี้มีขึ้นเพื่อให้การเปลี่ยนผ่าน ช่วงเบรกซิทเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ไม่มีการกล่าวถึงแผนการเยือนอังกฤษของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สื่อวิจารณ์ว่าการเยือนดังกล่าวอาจถูกเลื่อนออกไป แต่โฆษกรัฐบาลยืนยันว่าที่ไม่มีเรื่องนี้ในพระราชดำรัสเปิดประชุมสภา เป็นเพราะยังไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอนเท่านั้น

            แม้ว่าขณะนี้การเจรจาจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรค DUP รวมถึงพรรคอื่นๆ จะยังไม่เสร็จสิ้น แต่โฆษกรัฐบาลยืนยันว่าพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชินีนาถ จะเป็นเครื่องการันตีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลได้ ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

               การเสด็จเปิดสมัยประชุมครั้งนี้ เจ้าฟ้าชายชาร์ลสเสด็จแทนพระองค์พระราชบิดา ดยุคแห่งเอดินบะระ ที่ทรงเข้ารับการรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา นอกจากนี้ กระบวนเสด็จยังถูกลดทอดความยิ่งใหญ่ลง โดยสมเด็จพระราชินีนาถเสด็จมาโดยรถยนต์พระที่นั่ง ไม่ใช่ราชรถเทียมม้าตามปกติ และยังไม่ได้ทรงฉลองพระองค์เต็มพระราชอิศริยยศ แต่ทรงฉลองพระองค์ชุดกลางวัน และไม่ได้เสด็จไปที่ห้องประชุมของวุฒิสภาตามธรรมเนียม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1974 ที่พระราชพิธีเปิดสมัยประชุมถูกย่นย่อลงเช่นนี้ โดยรัฐบาลอธิบายว่าเป็นเพราะการเลือกตั้งจัดขึ้นอย่างกะทันหัน จึงไม่มีเวลาซักซ้อมและจัดเตรียมพระราชพิธีเต็มยศเหมือนทุกครั้ง

ขอขอบคุณภาพจาก https://www.google.co.th

ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก http://news.voicetv.co.th

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ http://news.voicetv.co.th/world/500800.html