โดยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) มีการประชุมเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ บก.ปปป. กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อหารือการขยายผลดำเนินคดีกับขบวนการผู้กระทำความผิดดังกล่าว

โดย พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เปิดเผยหลังการประชุมว่า บก.ปปป. ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนจากพยานเอกสารและพยานบุคคลตั้งแต่ปี 2554-2559 จนพบว่า มีวัดที่เข้าข่ายการกระทำความผิดทั่วประเทศถึง 476 วัด โดยการหารือของหน่วยงานต่างๆในครั้งนี้ มีวาระสำคัญ คือ ยุทธการปราบโกงวัด ที่การสืบสวนสอบสวนพบว่ามีการทุจริตวัดในลักษณะเดิม คือการเบิกงบประมาณเพื่อไปปฏิสังขรณ์ รวมถึงงบประมาณอื่นๆ จาก พศ. เพิ่มเติม ในการสืบสวนสอบสวนพบข้อมูลอีกว่ามีการกระทำการทุจริตเกิดขึ้นกับวัดในกรุงเทพฯและทั่วทุกภาค โดยเป็นบุคคลกลุ่มใหม่ที่เป็นทั้งข้าราชการใน พศ. และฆราวาสเข้าร่วมเกี่ยวข้อง นอกจากนี้การประชุมมีการพูดคุยเรื่องการขออนุมัติเพื่อสอบสวนคดีการฟอกเงินใน 12 สำนวนเก่า ที่ส่งใน ป.ป.ช.ไปแล้ว และหลังจากนี้การสืบสวนสอบสวนจะทำสำนวนคดีฟอกเงินคู่กัน

“ส่วนการตรวจสอบวัด ปปป.ตรวจสอบวัดทั้งหมดทั่วประเทศส่วนจะมีกี่วัด และผู้ต้องหากี่คนที่พบความเกี่ยวข้องกับการทุจริต ยังตอบไม่ได้อยู่ในขั้นตอนการสืบสวนอยู่ แต่เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบวัดทั้งประเทศแน่นอน หลังจากนั้นจะส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการชี้มูลความผิด ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบวัดทางภาคใต้ พื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีจำนวนขณะนี้กว่า 60 วัด และวัดที่ จ.ชุมพรไปแล้ว ทาง ปปป.จะไม่ก้าวล่วง เนื่องจากทาง ป.ป.ช.ดำเนินการไปแล้ว หลังจากนี้จะดำเนินสืบสวนขยายผลต่อไป” พล.ต.ต.กมลกล่าว

วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา

วันเดียวกัน ที่ฟ้องประชุมวัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา นายสมศักดิ์ โตรักษา ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พระธรรมรัตนมงคล หรือ “เจ้าคุณแวว” เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร ได้แถลงข่าวกรณีการรับเงินอุดหนุนจาก พศ.ของวัดว่า เมื่อปี 2555 วัดได้ก่อสร้างกุฎิทรงไทยจำนวน 9 หลัง และปี 2556 ได้ก่อสร้างทางเดินรอบวิหารหลวงพ่อโต ทั้งหมดได้ใช้เงินจากการบริจาค ซึ่งในปี 2556 นั้นเอง นางสาว “ป.” ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง พศ. และรู้จักกับพระธรรมรัตนมงคล แจ้งว่า พศ. จะให้เงินอุดหนุนวัด 10 ล้านบาท โดยเป็นเงินเพื่อการบูรณปฎิสังขรณ์ภายในวัด 2 ล้านบาท และอีก 8 ล้านบาทนำไปให้วัดอื่นที่ยากจน ซึ่งวัดพนัญเชิงวรวิหาร ก็นำเงินจำนวน 2 ล้านไปทำการบูรณซ่อมแซมวัดตามวัตถุประสงค์ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นงบประมาณปี 2557

ต่อมาปลายปี 2557 นางสาว “ป.” ก็แจ้งกับเจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหารว่า จะมอบเงินอุดหนุนให้กับวัดอีกจำนวน 10 ล้านบาท แต่ขอให้ทางวัดมอบเงินสดให้กับ นางสาว “ป.” เพื่อนำไปช่วยเหลือวัดอื่นๆ จำนวน 5 ล้านบาท ซึ่งทางวัดพนัญเชิงวรวิหารก็ได้นำเงินจากงบประมาณอุดหนุนปี 2557 นั้น จำนวน 5 ล้านไปบูรณะปรับปรุงกุฎิทรงไทยจำนวน 9 หลัง ซึ่งทั้งสองงบประมาณ เจ้าอาวาสได้สอบถาม นางสาว “ป.” ว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือไม่ นางสาว “ป.” ยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดกฎหมาย ทำให้พระธรรมรัตนมงคลเชื่อ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่

พระธรรมรัตนมงคล เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร

ต่อมา บก.ปปป. ได้เข้ามาตรวจสอบเกี่ยวกับการใช้เงินอุดหนุน และมีการสอบปากคำพระธรรมรัตนมงคล ถึงการใช้เงิน 2 ล้าน และ 5 ล้านบาท ที่ได้รับอุดหนุน โดยวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางปปป. ได้แจ้งข้อกล่าวหากรณีเงินอุดหนุนวัดพนัญเชิงวรวิหาร จำนวน 13 ล้านบาท ทำให้พระธรรมรัตนมงคลเชื่อว่านางสาวป. ไม่ได้นำเงิน 13 ล้านไปช่วยเหลือวัดยากจนจริง จึงได้ทำการแจ้งความดำเนินคดีกับนางสาวป. ที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา ไว้ ซึ่งหากได้เงินจำนวนดังกล่าวคืนมาจะคืนให้ พศ. ต่อไป

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1574526075931512&id=145670862150381

www.google.co.th