สาวิตรีสตรีในนวนิยายที่สวยเก่งและเอาชนะความตายได้ด้วยปัญญา

ถ้าท่านจะให้พรสำเร็จไปก็ต้องคืนวิญญาณสามีของนางให้ไปนางจึงจะมีบุตรได้ ยมราชจึงต้องยอมปล่อยวิญญาณของสัตยาวันคืนไปนั้นก็คือนางได้ตามวิญญาณสามีสุดที่รักของนางกลับคืนมา http://winne.ws/n17542

2.1 พัน ผู้เข้าชม

สาวิตรีเป็นคนที่ฉลาดและมีสิริโฉมงดงาม และเก่งกาจมาก จนไม่มีชายใดกล้ามาสู่ขอ มหาราชอัชวาปตีจึงได้มอบหมายให้นางออกหาสามีเอง

สาวิตรีสตรีในนวนิยายที่สวยเก่งและเอาชนะความตายได้ด้วยปัญญา

สาวิตรี

พระราชา “อัชวาปตี มหารานีมัลวี”ไม่มีบุตรชายเลย จึงได้ทำพิธีภาวนาต่อ “พระแม่มาเตสวาตี”(พระแม่กายาตรี)มาถึง ๑๘ ปี จนพระแม่มาประทานพรให้ แต่เนื่องจากในโชคชะตาของมหาราชนั้น ไม่ได้มีพรของบุตรชายเลย พระแม่จึงได้มอบบุตรสาวมาเกิดกับพระอัครมเหสีของพระองค์ ซึ่งได้เกิดเป็นหญิงสาวที่เก่งกาจ มีความสามารถมาก มีสติปัญญามาก และรูปโฉมอันงดงามยิ่งนัก โดย“เทวฤษีนารัทมุนี”ได้ตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่า “สาวิตรี

    สาวิตรีเป็นคนที่ฉลาดและมีสิริโฉมงดงาม และเก่งกาจมาก จนไม่มีชายใดกล้ามาสู่ขอ มหาราชอัชวาปตีจึงได้มอบหมายให้นางออกหาสามีเอง แต่พระบิดาทรงห่วงใยจึงส่งทหารมือดีไปเป็นคนคอยอารักขาและคุ้มกันด้วยคนหนึ่งคือ “มหามนตรีสุเกรชี"ซึ่งนางก็ต้องจำยอมให้ติดตามเพราะพระประสงค์และความห่วงใยของพระบิดา สาวิตรีได้เดินทางไปหลายเมืองจนมาถึงเมืองของ “มหาราชจันทราเซน” ซึ่งมี“มาดันราชกุมาร”ของมหาราชนั้นเป็นคนที่เลวร้ายมาก มักมากในกามคุณและไม่ให้เกียรติสตรีเลย เขาได้เข้ามาหานางเพื่อที่หมายจะย่ำยีข่มเหงนาง แต่สาวิตรีได้หลอกมาดันแล้วทำพิธีผูกรัคชิด(เหมือนพิธีผูกเสี่ยวทางอีสานของไทย) เพื่อให้มาดันกลายเป็นพี่ชายของตนแทนที่จะได้เป็นสามี มาดันเลยได้กล่าวคำอาฆาตกับสาวิตรีไว้ สาวิตรีจึงหมดหวังที่จะหาสามีตามที่พ่อและแม่ได้มอบหมายไว้ 

หนุ่มตัดไม้เขาได้แนะนำตัวเองว่าเขาชื่อ “สัตตีอาวาร”(สัตยาวัน)เป็นบุตรของอดีตมหาราช “จันทราเซน”พระองค์ก่อนซึ่งตาบอดแล้วอพยพมาอยู่ในป่าแห่งนี้

สาวิตรีสตรีในนวนิยายที่สวยเก่งและเอาชนะความตายได้ด้วยปัญญา

นางจึงออกเดินทางต่อไปเพื่อหย่อนอารมณ์โดยได้ขี่ม้ามาถึงที่แห่งหนึ่ง แล้วม้าก็หยุดเดินไม่ยอมขยับไปไหน พลันนางก็ได้ยินเสียงคนตัดต้นไม้ นางจึงแอบเข้าไปดูก็พบกับชายหนุ่มรูปงามกำลังต่อล้อต่อเถียงกับนางยักษ์ที่เข้ามาพัวพัน โดยที่นางยักษ์กล่าวชักชวนให้ชายผู้นั้นมาร่วมหลับนอนด้วย ชายคนนั้นจึงกล่าวกับนางยักษ์ว่า 

ความอายเป็นคุณสมบัติของสตรี หญิงใดที่ไม่มีคุณสมบัตินี้ก็สมควรที่จะตายไป นางยักษ์จึงกลับไปด้วยความผิดหวัง แต่คำนี้เองที่ทำให้สาวิตรีหลงใหลในหนุ่มนั้น

  ในขณะที่นางซุ่มอยู่ในพุ่มไม้นั้น  พลันก็ปรากฏเสือตัวใหญ่ไล่กวดเพื่อจะกัดกินนาง แล้วก็มีชายหนุ่มคนตัดไม้จึงได้เข้ามาช่วยนางโดยที่ขว้างขวานเข้าที่คอเสือ และในขณะเดียวกันมาดันซึ่งออกติดตามหาสาวิตรีก็เข้ามาเจอแล้วยิงธนูเข้าที่หลังเสือเช่นกัน แล้วเสือก็หนีเข้าป่าไป เมื่อชายหนุ่มเข้ามาหาสาวิตรี มาดันก็ได้เข้ามากล่าวคำหยาบช้าต่อสาวิตรีต่างๆนาๆ ชายหนุ่มคนตัดไม้จึงได้เข้าต่อสู้เพื่อปกป้องสาวิตรีไว้ สาวิตรีจึงตกหลุมรักชายหนุ่มมากขึ้นๆ ทั้งที่เป็นหนุ่มชาวบ้านป่ามีอาชีพตัดฟืนไปขายเลี้ยงพ่อแม่เท่านั้น หนุ่มตัดฟืนและมาดันกำลังต่อสู้กัน โดยคนหนึ่งต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของสตรีที่ถูกต่อว่าและถูกย่ำยีศักดิ์ศรี แต่อีกคนหนึ่งต่อสู้เพื่อแย่งชิงนางไปครอง แต่แล้วมหามนตรีสุเกรชีก็เดินทางตามมาถึง และได้ช่วยขับไล่มาดันให้หนีไป หลังจากที่ได้ขับไล่มาดันไปแล้ว หนุ่มตัดไม้เขาได้แนะนำตัวเองว่าเขาชื่อ “สัตตีอาวาร”(สัตยาวัน)เป็นบุตรของอดีตมหาราช “จันทราเซน”พระองค์ก่อนซึ่งตาบอดแล้วอพยพมาอยู่ในป่าแห่งนี้ ซึ่งมหามนตรีสุเกรชีองครักษ์ของนางสาวิตรีทรงเข้าพระทัยนาง จึงได้เข้าไปสู่ขอสัตตีอาวารกับอดีตมหาราชบิดาของสัตยาวัน(ซึ่งตอนนี้มาอยู่ในป่ากับพระมเหสีและสัตยาวัน บัดนี้เป็นแต่เพียงชาวบ้านป่าเท่านั้นเอง คือเป็นมหาราชตกบัลลังก์หรือถูกแย่งชิงบัลลังก์ไปแล้วนั้นเอง)ให้กับนางสาวิตรีเพื่อทำพิธีสยุมพรเป็นสามีภรรยากัน แต่มหาราชบิดาของสัตยาวันไม่ยอมรับในเรื่องนี้ นางสาวิตรีจึงได้เข้าไปกล่าวและทรงสู่ขอกับอดีตมหาราชด้วยพระนางเอง ทำให้ทั้งมหาราชและพระมเหสียินยอมและเต็มใจยิ่งนัก

ถึงเวลาที่สัตตีอาวารจะต้องถูกนำวิญญาณไป นางจึงได้เฝ้าอยู่กับสามีตลอดเวลา แต่แล้วพระยายมราชได้ใช้อุบายพรากวิญญาณสามีของนางไปจนได้

สาวิตรีสตรีในนวนิยายที่สวยเก่งและเอาชนะความตายได้ด้วยปัญญา

    ในขณะที่งานมงคลสมรสจะเกิดขึ้นนั้น ฤาษีนารัทมุนีก็ได้เดินทางมาเพื่ออวยพรให้บ่าวสาวด้วย แต่ระหว่างทางได้พบกับ “พระยายมราช” โดยพระยายมราชได้แจ้งว่า....

 สัตตีอาวารนั้นเหลือเวลาบนโลกมนุษย์อีกเพียง ๑ ปีเท่านั้น เมื่อสาวิตรีรู้ข่าวจากพระฤษีนั้น นางก็มั่นคงในคำพูดและไม่ยอมเปลี่ยนใจเป็นอื่น จึงได้เข้าพิธีสมรสกับสัตตีอาวารโดยไม่กังวลใดๆและเต็มใจยิ่งนัก โดยที่ไม่ฟังคำคัดค้านจากพระราชบิดาและพระราชมารดาของนางเลยแม้แต่น้อย ในระยะเวลาหนึ่งปีสามีหนุ่มและเมียสาวต่างครองรักกันอย่างมีความสุขและปรนนิบัติบิดาและมารดาอย่างดีไม่ได้ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใดอีกด้วย ซึ่งวันเวลาช่างผ่านไปเร็วยิ่งนัก นางสาวิตรีได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะยืดอายุขัยของสามีให้มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์และครองรักกับนางตราบนานเท่านานเท่าที่จะกระทำได้ นางจึงได้เข้าไปภาวนาต่อ “พระแม่มาเตสวตี” 

โดยพระแม่มาเตสวตีจึงได้แนะนำนางให้ถือศีลอดอาหารอย่างเคร่งครัดในสามวันก่อนครบกำหนดตายและในวันที่สี่ให้ภาวนาเพื่อขอพรพระเจ้าให้กับสัตตีอาวารสามีของนาง นางจึงทำตามจนครบกำหนดโดยที่หน้าที่ปรนนิบัติพ่อแม่และสามีไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย และในสี่วันสุดท้ายของชีวิตสัตยาวันนั้น นางได้เริ่มถือศีล “อาคานโซบาวาตี” และในขณะที่นางถือศีลอดอยู่นั้น พระยายมราชได้มาก่อกวนนางทุกทางแต่ก็ไม่สำเร็จ และในวันที่สี่นั้น นางไม่ยอมทานอาหารใดๆเลย จนถึงเวลาที่สัตตีอาวารจะต้องถูกนำวิญญาณไป นางจึงได้เฝ้าอยู่กับสามีตลอดเวลา แต่แล้วพระยายมราชได้ใช้อุบายพรากวิญญาณสามีของนางไปจนได้

ยมราชจึงต้องยอมปล่อยวิญญาณของสัตยาวันคืนไป นั้นก็คือนางได้ตามวิญญาณสามีสุดที่รักของนางกลับคืนมา

สาวิตรีสตรีในนวนิยายที่สวยเก่งและเอาชนะความตายได้ด้วยปัญญา

 นางจึงได้ออกติดตามพระยายมราชไปจนถึงแม่น้ำเวตาล พระยายมราชได้บอกว่า นางข้ามไม่ได้เพราะภพหน้าคือภพของคนตาย สาวิตรีจึงขอพรจาก “พระแม่กามเทนุ”ให้พาข้ามไป ยมราชเห็นความตั้งใจของนางจึงได้กล่าวเตือนอีกครั้งเพราะข้างหน้าคือเทวโลก ที่ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเข้าไปได้ ยมราชจึงต่อรองกับสาวิตรี ว่าเจ้าขอพรได้ ๑ ข้อ เว้นแต่ชีวิตของสามีของนาง นางจึงขอให้ดวงตาของพ่อและแม่สามีมองเห็นได้อีกครั้ง ยมราชจึงได้ให้พรดังนั้นแล้วเดินทางต่อไป “พระแม่กาลี” จึงได้ให้“ตรีศูล”พาข้ามไป ยมราชเห็นดังนั้น จึงได้บอกกับสาวิตรีว่า ข้างหน้าเป็นโลกสวรรค์ ซึ่งจะไปได้เฉพาะเทวดาเท่านั้นแต่สาวิตรีไม่ยอม ยมราชจึงต่อรองกับสาวิตรี ว่า

เจ้าขอพรได้ ๑ ข้อ เว้นแต่ชีวิตของสามี สาวิตรีจึงขอบัลลังก์ของพ่อแม่สามีคืนมา ยมราชให้พรแล้วเดินทางต่อ“พระแม่ลักษมี”จึงได้ให้ดอกบัวพาสาวิตรีข้ามโลกสวรรค์ไป และเมื่อยมราชเห็นดังนั้นจึงได้บอกสาวิตรีว่า ข้างหน้าเป็นป่าสวรรค์และเป็นวรรณะโลกที่ผู้คนบูชาที่ซึ่งแม้แต่เทวดาถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็เข้าไปไม่ได้ แต่สาวิตรีไม่ยอมยมราชจึงต่อรองกับสาวิตรี ว่า...

เจ้าขอพรได้ ๑ ข้อ เว้นแต่ชีวิตของสามี นางจึงขอให้พ่อและแม่ที่ไม่มีลูกชายเลยของนางมีลูก ๑๐๐ คนเพื่อความรุ่งเรือง ยมราชให้พรแล้วเดินทางต่อไป “พระแม่สุรัสวตี”จึงได้มอบหงส์ของพระแม่ให้พาสาวิตรีไป

       เมื่อถึงยมโลกแล้ว ยมราชได้บอกกับสาวิตรีว่า ที่นี่คือยมโลก ไม่มีใครเข้าไปได้นอกจากยมราชจะอนุญาต แต่สาวิตรีไม่ยอมฟังได้เดินตามยมราชเข้าไป ยมราชจึงหันมาบอกกับสาวิตรีว่าลูกรักอย่าได้ดื้อไปเลยกลับไปเถอะ สาวิตรีบอกว่าเมื่อท่านเรียกข้าว่าลูกท่านก็เหมือนพ่อ แล้วพ่อจะไม่ให้ลูกเข้าบ้านหรือ ยมราชจึงต่อรองกับสาวิตรี ว่า

เจ้าขอพรได้ ๑ ข้อ เว้นแต่ชีวิตของสามี แล้วกลับไป สาวิตรีจึงขอมีบุตรถึง ๑๐๐ คน ยมราชได้ให้พรดังที่ขอ แต่สาวิตรีไม่ยอมกลับ ยมราชจึงหันมาดุนางสาวิตรี

     ฝ่ายนารัทมุนีจึงเข้ามาบอกว่า ท่านให้พรได้แต่ไม่เข้าใจในคำพรที่ให้เลย นางที่แสนจะซื่อตรงกับสามีจะมีบุตรได้อย่างไรถ้าไม่มีสามี ถ้าท่านจะให้พรสำเร็จไปก็ต้องคืนวิญญาณสามีของนางให้ไปนางจึงจะมีบุตรได้ ยมราชจึงต้องยอมปล่อยวิญญาณของสัตยาวันคืนไป นั้นก็คือนางได้ตามวิญญาณสามีสุดที่รักของนางกลับคืนมานั้นเอง ฝ่ายเหล่าเทวะและฤาษีทั้งหลายที่ได้ทราบข่าว ต่างก็ได้เข้ามาแสดงความยินดีและคำนับต่อนางด้วยความเคารพและยกย่องสรรเสริญนางว่าเป็น “ มหาสตรี ” อย่างแท้จริง....


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก 

http://www.thaigoodview.com/node/18434?page=0,10

www.google.co.th

แชร์