กระเพาะเป็นแผล แก้ด้วย…กล้วยน้ำว้าดิบ
หลายท่านพอพูดถึงกล้วยน้ำว้าดิบ ก็เมินหน้าหนี แต่เรามีวิธีทานกล้วยน้ำว้าได้ถึง 3 วิธี รวมถึงคำแนะนำเบื้องต้นให้หายขาดจากโรคแผลในกระเพาะอาหาร ... http://winne.ws/n20428
ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารนับเป็นปัญหาการเจ็บป่วยอันดับต้นๆ ของคนยุคใหม่ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็เร่งรีบไปเสียหมดแม้แต่เรื่องอาหารการกินที่เป็นปัจจัยที่1 ของการดำรงชีวิต
“แผลในกระเพาะอาหาร”ก็ถือเป็นอาการผิดปกติเรื้อรังที่สร้างความทรมานให้คนที่เป็นได้อย่างมากใครที่เคยเป็นคงรับรู้ถึงความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนกระเพาะอาหารเวลาหิวข้าวแต่พอกินข้าวไปได้ไม่กี่คำ กลับรู้สึกจุกแน่น เสียดท้องขึ้นมาแทนต้องหายาเคลือบกระเพาะ ยาลดกรด มาประจำติดตัวกันไว้ แต่ก็ยังไม่หายขาดเสียทีแผลในกระเพาะอาหารก็ยังคงเป็นอยู่ต่อไป
ด้วยภูมิปัญญาของปู่ย่าตายาย “กล้วยดิบ” ถูกนำมาใช้รักษาอาการแผลในกระเพาะอาหารมานานแล้ว และในปัจจุบันยังมีการค้นพบว่าในกล้วยดิบมีสารสำคัญที่ให้รสฝาดและช่วยสมานแผลชื่อ “แทนนิน” ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียช่วยป้องกันผนังกระเพาะอาหารไม่ให้เชื้อโรคต่างๆและรสที่เผ็ดร้อนเกินไปทำอันตรายกับผนังกระเพาะอาหารของเราได้
สารสำคัญอีกอย่างหนึ่งในกล้วยทุกชนิดคือ “เซโรโทนิน” ช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกตามธรรมชาติออกมาเคลือบแผลแต่จะไม่กระทบกับการหลั่งน้ำย่อยซึ่งจะช่วยลดการระคายเคืองและอาการแสบร้อนท้อง โดยที่ไม่ทำให้การย่อยลดประสิทธิภาพลงในขณะที่ยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร โดยมากออกฤทธิ์เพียงเคลือบป้องกันแผล แต่กล้วยมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและสมานแผลในกระเพาะอาหารควบคู่ไปด้วย
“กล้วยจึงเป็นยาสมานแผลกระเพาะอาหารที่มีคุณภาพดีและราคาถูก”
*วิธีแรก แบบทานสด
**วิธีที่สอง แบบแปรรูป
หากใครไม่สะดวกในการเตรียมทุกมื้อก็สามารถนำกล้วยดิบมาแปรรูปให้เก็บไว้ทานได้ง่ายๆ ดังนี้
1. นำกล้วยน้ำว้าดิบมาล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) แล้วหั่นเป็นแว่นบางๆ แผ่ในถาด ไม่ให้ชิ้นกล้วยซ้อนกัน
2. ตากลมหรือแดดสัก 3 แดดแต่ควรระวังไม่ให้อุณหภูมิสูงเกินไป ตากจนกล้วยกรอบและแห้งสนิท
3. นำมาตำจนละเอียดเป็นผงแล้วเก็บใส่โหลเมื่อจะนำมาทานก็ใช้ผสมกับน้ำอุ่น ๆ หรือน้ำผึ้งทานก็ยิ่งดี ก่อนอาหารทุกมื้อ 30 นาที ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
*** วิธีที่สาม แบบยาลูกกลอน
หากไม่สะดวกในการแปรรูปด้วยตนเองเราก็ยังสามารถหาซื้อกล้วยดิบผงหรือแบบที่ปั้นเป็นลูกกลอน (แนะนำให้ทานแบบลูกกลอนเพราะจะออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารได้ง่าย) ตามร้านขายยายาสมุนไพรมาทานได้เช่นกัน ทานตามที่ฉลากยาแนะนำ ให้ได้ต่อเนื่อง 1-2 เดือน อาการแผลในกระเพาะก็จะหายไป ระบบย่อยจะกลับมาทำงานได้ดีอีกด้วย ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมว่า นี่เป็นเพียงปลายทางในการรักษาอาการที่เกิดขึ้นแล้วการรักษาโรคที่ถูกต้องที่สุด คือ การปรับพฤติกรรมการกินอยู่ให้เหมาะสมกับธรรมชาติของร่างกาย
*** ใครอยากจะโบกมือเซย์กู๊ดบายจากโรคกระเพาะอย่างจริงจัง ดิ อโรคยา ก็มีคำแนะนำเบื้องต้นดังนี้***
1. ทานอาหารให้ตรงเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อเช้า ควรทานไม่เกิน 9:00 น. เพราะเป็นเวลาการทำงานของลมปราณกระเพาะอาหารตามนาฬิกาชีวิต น้ำย่อยจะหลั่งออกมาเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงที่สุดควรทานอาหารที่มีคุณภาพ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแกง กับข้าวสดใหม่ ก๋วยเตี๋ยวเพราะอาหารเช้า คือขุมพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งวัน
2. หากไม่จำเป็น ควรงดการทานอาหารมื้อดึกเกิน 3 ทุ่ม เพราะเป็นเวลาที่ระบบต่างๆ ในร่างกายต้องการพักผ่อน
3.ไม่รังแกระบบย่อยอาหารด้วยการดื่มน้ำในเวลาทานอาหารมากเกินไปการดื่มน้ำมากในมื้ออาหารจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง การย่อยจะไม่มีประสิทธิภาพก่อให้เกิดขยะตกค้างในลำไส้ได้มาก
4. ลดการทานอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์เหนียว ๆ ของทอด ของมัน เครื่องดื่มเย็นจัด หวานจัดเพื่อลดภาระของระบบย่อยอาหาร
ลองทำดูสัก 1 เดือนแล้วคุณจะยกมือขึ้นได้สุดแขน
“มาช่วยกันทำให้คนป่วยน้อยลง”
ขอขอบคุณ : หมอแดง ดิ อโรคยา
http://thearokaya.co.th/web/?p=6502
ขอขอบคุณรูปภาพ :
https://pbs.twimg.com/media/CUjrSVNUEAEG-A_.jpg
http://thearokaya.co.th/web/wp-content/uploads/2016/06/raw-banana.png
https://www.bloggang.com/data/poungchompoo/picture/1426390321.jpg
https://f.ptcdn.info/516/051/000/oqr1tte7fhXQ42R32Ze-o.jpg
https://th-live-02.slatic.net/p/3/product-1450218578-915877-1.jpg
https://cdn.homepro.co.th/catalog/200000/447x447/242881.jpg
https://www.bloggang.com/data/n/ni22y/picture/1420953738.jpg