จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “เบาหวาน” ?!?

นายแพทย์จิระพงศ์ อุกะโชค แพทย์อายุรศาสตร์ โรคระบบต่อมไร้ท่อ (เบาหวาน-ไทรอยด์) โรงพยาบาลนนทเวช ได้นำความรู้เรื่องโรคเบาหวาน สัญญาณจากร่างกาย พร้อมวิธีหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคดังกล่าว มาบอกเล่าให้ฟัง … http://winne.ws/n20735

1.1 พัน ผู้เข้าชม
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “เบาหวาน” ?!?http://media.komchadluek.net/img/size1/2017/09/12/69g6ih5f5f8iiaajibdbh.jpg

         สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติได้เปิดเผยสถิติผู้ป่วยโรคเบาหวาน พบว่าปี 2558 ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคเบาหวาน 415 ล้านคน ทุกๆ 6 วินาที มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน 1 ราย และคาดการณ์ว่าในปี 2588 จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 642 ล้านคน

        แม้จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นแต่ผู้เป็นโรคนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานอายุ 35 ปีขึ้นไปซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานให้น้อยลงได้ นายแพทย์จิระพงศ์อุกะโชค แพทย์อายุรศาสตร์ โรคระบบต่อมไร้ท่อ (เบาหวาน-ไทรอยด์) โรงพยาบาลนนทเวชได้นำความรู้เรื่องโรคเบาหวานพร้อมวิธีหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคดังกล่าว มาบอกเล่าให้ฟัง

โรคเบาหวาน มี 4 ประเภท

       นายแพทย์จิระพงศ์ อธิบายว่า โรคเบาหวานคือโรคที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่ตลอดเวลา แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

ประเภทที่ 1 พบในเด็กและวัยรุ่น พบมากในชาวตะวันตก กลุ่มนี้ร่างกายขาดอินซูลินถาวรต้องพึ่งการฉีดอินซูลินตลอดชีวิต ร่างกายค่อนข้างผอม

ประเภทที่ 2 พบในผู้ใหญ่ เป็นเบาหวานที่พบได้ทั่วไปซึ่งผู้ป่วยเบาหวานของไทยส่วนใหญ่อยู่ในประเภทนี้ เกิดจากร่างกายดื้อต่ออินซูลินคนไข้มักจะอ้วน

ประเภทที่ 3 เบาหวานที่พบระหว่างการตั้งครรภ์ เป็นผลจากฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ภาวะของโรคจะดีขึ้นหลังคลอด แต่คุณแม่จะมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้อีก

ประเภทที่ 4 เกิดจากโรคต่อมไร้ท่อ ร่างกายสร้างสเตียรอยด์มากไป  หรือการใช้ยาบางอย่างที่มีสเตียรอยด์อาการจะดีขึ้นเมื่อรักษาหรือหยุดยา

สัญญาณจากร่างกายอาจจะเป็นเบาหวาน

         แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ร่างกายกำลังส่งสัญญาณอันตรายว่าอาจจะเป็นเบาหวานนายแพทย์นพ.จิระพงศ์ ให้คำแนะนำในการสังเกตอาการว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการกระหายน้ำบ่อยปัสสาวะบ่อยและปัสสาวะปริมาณมาก ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ส่งผลให้อ่อนเพลียและน้ำหนักลดลง บางรายถึงขั้นไตวายและเสียชีวิตผู้ป่วยบางรายจะมีผื่นอับชื้นที่เกิดจากเชื้อราตามซอกพับ มีตกขาว ตาพร่ามัวและชาตามปลายมือปลายเท้า

        โรคแทรกซ้อนน่ากังวล :สิ่งที่น่าวิตกและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยเบาหวานคือ โรคแทรกซ้อนเรื้อรังที่พบได้บ่อยคือ โรคแทรกซ้อนเรื้อรังของเบาหวานในจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาเสื่อมมีเลือดออกในดวงตา ส่งผลให้ตาบอด ซึ่งหากมีการตรวจคัดกรองพบภาวะเบาหวานจะช่วยป้องกันภาวะตาบอดได้

         โรคแทรกซ้อนเรื้อรังของเบาหวานที่ไต พบโปรตีนปะปนออกมากับปัสสาวะหากปล่อยไว้ไม่รักษา ไตจะทำงานได้น้อยลงและเกิดภาวะไตวายในที่สุดซึ่งสามารถตรวจคัดกรองได้จากการตรวจปัสสาวะ

         โรคเส้นประสาทชาคนไข้จะไม่มีความรู้สึกเมื่อเกิดการกระทบกระแทกทางร่างกายจึงไม่รู้สึกเจ็บ ทำให้เกิดบาดแผลได้ง่ายและบาดแผลรักษาได้ยาก เนื่องจากการหมุนเวียนของโลหิตไม่ดีในบางรายแม้ไม่มีบาดแผลก็พบอาการเลือดไม่ไหลเวียน จึงมีคนไข้ที่ต้องสูญเสียอวัยวะไปจำนวนมาก

         นอกจากนี้ยังพบอาการอัมพาตและโรคหัวใจได้บ่อยในคนไข้เบาหวานซึ่งคนไข้เบาหวานที่เป็นโรคหัวใจจะไม่มีอาการเจ็บเตือนทำให้เกิดอาการหัวใจวายฉับพลัน รวมถึงมีความเสี่ยงจะเกิดโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย

กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “เบาหวาน” ?!?https://f.ptcdn.info/974/018/000/1400140237-diabetesan-o.jpg

          กลุ่มเสี่ยงที่เป็นโรคเบาหวาน คือ ผู้ที่มีอายุ 35ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วนลงพุง (ผู้ชายรอบเอวเกิน 90 เซนติเมตร และผู้หญิงเกิน 80เซนติเมตร) ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมเคลื่อนไหวน้อยซึ่งพนักงานออฟฟิศก็ถือว่ามีภาวะเสี่ยงเช่นกัน รวมถึงผู้ป่วยที่ใช้ยาเสตียรอยด์และผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวาน หรือคนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคเบาหวานเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงหลักของเบาหวานคือพันธุกรรมทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องควรตรวจคัดกรอง  เบาหวาน

ปรับพฤติกรรมเลี่ยงเบาหวาน

         หากไม่อยากเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานทุกคนสามารถปรับพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเบาหวานได้โดย

1.      ออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวต่อเนื่องจนมีเหงื่อซึม 

         หัวใจเต้นแรง อย่างน้อย 30 นาทีขึ้นไป สัปดาห์ละ 5 วัน 

          ซึ่งการออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน

          หรือชะลอการเป็นเบาหวานออกไปได้

2.      ระมัดระวังการบริโภคอาหารโดยเฉพาะประเภทแป้งและน้ำตาล

          เพื่อไม่ให้เกิดภาวะอ้วนลงพุงและสำหรับผู้ป่วยจำเป็นต้องอยู่ในการดูแล

          ของโภชนากรเพื่อการรักษาที่ได้ผล

3.      ตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน  สามารถทำได้ 3 วิธี คือ

          3.1  การตรวจน้ำตาลก่อนรับประทานอาหารเช้า

                    โดยงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการตรวจเลือด

           3.2  การตรวจเลือด ณ เวลาใดๆ ก็ได้โดยไม่ต้องงดอาหาร

            3.3  การตรวจน้ำตาลสะสมในเม็ดเลือดแดง

เพราะถ้าหากพบภาวะโรคเบาหวานแต่เนิ่น ๆ จะสามารถทำการรักษาและป้องกันโรคแทรกซ้อนได้ทันท่วงที

 

ขอขอบคุณข้อมูลและรูป : บริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ และโรงพยาบาลนนทเวช

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/295371

https://f.ptcdn.info/974/018/000/1400140237-diabetesan-o.jpg

แชร์