หยุดคิดเกิดปัญญา เจริญภาวนาส่งผลถึงเซลล์สมอง !?!
หยุดคิดจะเกิดปัญญาได้ยังไง? มันต้องคิดซิถึงได้ชิ้นงานออกมา แล้วถ้าเอาแต่นั่งสมาธิหรือเจริญสติภาวนามันจะได้งานยังไง? มาดูผลการทำวิจัยของการเจริญสติภาวนาที่มีต่อสมองโดยนักวิทยาศาสตร์ ... http://winne.ws/n21115
ในสมัยพุทธกาลเทวดาองค์หนึ่งเข้าเฝ้าเพื่อถามพระพุทธเจ้าว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงมีผิวพรรณผ่องใส แม้จะบริโภคอาหารเพียงวันละหนึ่งมื้อ พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า
ไม่เศร้าโศกถึงเรื่องที่ล่วงมาแล้ว ไม่กังวลหวังเรื่องที่ยังไม่มาถึง มีชีวิตอยู่ด้วยขณะปัจจุบันหรือด้วยปัจจุบันธรรม เพราะเหตุนั้นผิวพรรณจึงผ่องใส
เพราะกังวลถึงเรื่องในอนาคตเพราะเศร้าโศกถึงอดีต คนเขลาทั้งหลายจึงซูบซีด เศร้าหมองเหมือนไม้อ้อสดที่ถูกตัดแล้ว ซึ่งมีแต่จะเหี่ยวแห้งไป”
ดร.ณัชร สยามวาลา เผยในหนังสือ “สำเร็จทางโลกเพราะสุขทางธรรม” ด้วยว่า ทั่วโลกยอมรับว่าการเจริญสติ ส่งผลต่อคุณภาพของสมองและกระบวนการทางความคิดอย่างเป็นระบบและส่งผลโดยตรงต่อความสุขในชีวิตประจำวัน ทีมวิจัยจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้วิจัยถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 พบว่าสมองของผู้ทดลองฝึกเจริญสติติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์มีความหนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้นก็มีทีมวิจัยจากทั่วโลกศึกษาผลของการเจริญสติที่มีต่อสมองกันมาอย่างต่อเนื่องทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเคมนิทซ์ได้รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัย 20 เรื่องและพบว่าการเจริญสติมีผลต่อสมองที่เกี่ยวข้องในการควบคุมตนเองรวมถึงด้านอารมณ์และความจำ ขณะที่นักประสาทวิทยายังพบว่าการเจริญสติเป็นประจำส่งผลดีต่อการรับรู้ การตระหนักรู้ทางร่างกาย ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ความเข้าใจ ความคิดและความรู้สึกของตนเอง การคิดแบบลึกซึ้ง และการรู้จักตนเอง
นักวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยผลดีของการเจริญสติภาวนาที่มีต่อสมองโดยนำผู้ที่ไม่เคยเจริญสติมาทดลองปฏิบัติเจริญสติปรากฏว่าสมองบางส่วนเชื่อมต่อกันหนาแน่นมากขึ้นและมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีขึ้นทั้งสมองส่วนอินซูลาร์ (Insular) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ทางประสาทสัมผัสมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อข้อมูลข่าวสารที่มาจากโลกรอบตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การรับรู้ดีขึ้น จึงทำให้มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ยังนิมนต์พระภิกษุทิเบตที่เจริญสติมากกว่าหมื่นชั่วโมงขึ้นไปมาแสกนสมองด้วยเครื่อง FMRI (Functional Magnetic Resonance Imaging) สิ่งที่ค้นพบคือพระทิเบตเต็มไปด้วยสมองส่วนที่มีสมาธิจดจ่อได้ดีกว่าคนทั่วไปมาก มีความจำดีสามารถฟื้นจากภาวะที่เคร่งเครียดได้เร็วกว่าและดีกว่าคนทั่วไป สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์เชิงบวกทำงานอย่างคึกคักกว่าและสมองส่วนที่ควบคุมสตินั้นทำงานดีกว่าจึงสามารถไปยับยั้งสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้านลบได้ด้วย
อารมณ์เชิงลบหมดฤทธิ์ อารมณ์เชิงบวกบวกก็เพิ่มกำลัง และนั่นก็หมายถึง “ความสุข” นั่นเอง
ขอให้ทุกท่านมีความสุขจากการนั่งสมาธิเจริญภาวนากันนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูล :
http://www.goodlifeupdate.com/74176
ขอขอบคุณรูปภาพ :
http://www.bangkokbiznews.com//image/media
http://www.rakbankerd.com/dhamma/images_dhamma/1455163409_4_n.jpg