"คุณภาพการศึกษาตกต่ำ คุณภาพกำลังคนตกต่ำ จะไม่มีใครช่วยได้เชียวหรือ?"..ผอ.สถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอ

เดือนตุลาคม 2560 สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้เปิดเผยผลสำรวจภาวะการมีงานทำของประชากรไทย ซึ่งมีจำนวนประมาณ 65.75 ล้านคน อยู่ในวัยแรงงาน (work force) จำนวน 56.05 ล้านคน เปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน http://winne.ws/n21536

1.0 พัน ผู้เข้าชม
"คุณภาพการศึกษาตกต่ำ คุณภาพกำลังคนตกต่ำ จะไม่มีใครช่วยได้เชียวหรือ?"..ผอ.สถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอ

หมายเหตุ : ขณะนี้มีคำถามมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับแรงงานไทย หรือคนทำงาน ที่สถานศึกษาระดับต่าง ๆ ผลิตออกมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจะให้ได้คำตอบนี้เราต้องมาทำความเข้าใจกันว่า ขณะนี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ ผ่านรายงาน เรื่อง คุณภาพการศึกษาตกต่ำ คุณภาพกำลังคนตกต่ำ จะไม่มีใครช่วยได้เชียวหรือ? 

โดย รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นำเสนอข้อมูลไว้น่าสนใจ ดังนี้

"คุณภาพการศึกษาตกต่ำ คุณภาพกำลังคนตกต่ำ จะไม่มีใครช่วยได้เชียวหรือ?"..ผอ.สถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอแหล่งภาพจาก PR NRCT - สภาวิจัยแห่งชาติ

เดือนตุลาคม 2560 สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้เปิดเผยผลสำรวจภาวะการมีงานทำของประชากรไทย ซึ่งมีจำนวนประมาณ 65.75 ล้านคน อยู่ในวัยแรงงาน (work force) จำนวน 56.05 ล้านคน เปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน น่าจะอยู่ในลำดับที่ 3 รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ทุกวันนี้ประเทศไทย ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากประชากรวัยแรงงาน จำนวนมากเช่นนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 

โดยเฉพาะมีผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 37.22 ล้านคน ซึ่งผู้เขียนขอใช้เวลาพูดถึง กลุ่มที่อยู่นอกกำลังแรงงาน 18.83 ล้านคน (33%) ซึ่งแน่นอนกลุ่มนี้เป็น กลุ่มไม่ได้ หรือยังไม่ได้อยู่ในฐานะสร้างรายได้ให้กับประเทศ เช่น แม่บ้าน 5.72 ล้านคน เป็นคนทำงานที่คอยสนับสนุนคนในบ้าน ที่ต้องออกไปทำงานภาคเศรษฐกิจไม่ถือว่าเป็นภาระของสังคม เนื่องจากมีคนหารายได้ให้ใช้อยู่เบื้องหลัง

แต่ผู้อยู่นอกกำลังแรงงาน ซึ่งกำลังเรียนหนังสือ 4.44 ล้านคน เกือบ 100% อยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ใช้งบประมาณมากกว่า 20.3% ของงบฯ รายจ่ายทั้งประเทศ เพื่อหวังว่าจะผลิตบุคลากร จบการศึกษาอย่างมีคุณภาพ แต่คุณภาพของผู้เรียนที่ผ่านมาจนทุกวันนี้ ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เป็นผลจากการที่คุณภาพการศึกษาตกต่ำ มาเป็นเวลานาน นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของความล้มเหลวของการศึกษาไทย ที่ส่งต่อผู้คนเข้าสู่ตลาดแรงงาน

"คุณภาพการศึกษาตกต่ำ คุณภาพกำลังคนตกต่ำ จะไม่มีใครช่วยได้เชียวหรือ?"..ผอ.สถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอ

ข้อเท็จจริงของความล้มเหลว คือไม่สามารถรักษาเด็กแต่ละชั้นเรียนให้คงอยู่ในสถานศึกษา เช่น จำนวนเด็กก่อนจะถึงอายุ 15 ปีนั้น ในปี 2559 เป็นเด็กอยู่ในระดับการศึกษาภาคบังคับ (6-14 ปี) ซึ่งมีประชากรวัยนี้อยู่ 7.4 ล้านคน แต่ปรากฏว่าได้รับการศึกษาเพียง 7.2 ล้านคน หลุดจากระบบการศึกษาจากแต่ละชั้นเรียนถึง 2 แสนคน ซึ่งเป็นหน้าที่ของโรงเรียนในสังกัด ศธ. และผู้ปกครองจะต้องนำเด็กเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาให้ได้ 

แต่ความเป็นจริงหน่วยงานที่รับผิดชอบยังปล่อยให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นมาโดยไม่ได้รับการศึกษา และพบว่าเด็กเหล่านี้ส่วนหนึ่งกลายเป็นเด็กด้อยคุณภาพ ถ้าตกจากระบบนานนับ 10 ปี และไม่ได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาไม่ได้รับการฝึกอบรมอีกเลยจนอายุถึง 18 ปี ในที่สุดก็จะกลายเป็นแรงงาน หรือคนทำงานทักษะต่ำ (low skilled) ทำงานรับจ้าง รายได้ต่ำวนเวียนในวัฏจักรของความยากจน

ตัวเลขนักเรียนไม่ได้เรียนต่อระดับ ม.ต้น มีมาก ในปี 2559 อยู่ในความรับผิดชอบของ ศธ. ซึ่งกลุ่มนี้มีอายุ 12-14 ปี มีประชากรวัยนี้ 2.6 ล้านคน แต่ไม่ได้เรียนต่อถึง 11.4% หรือประมาณ 3 แสนคน เป็นสถิติที่น่าตกใจมากเนื่องจากอายุยังไม่ถึงวัยทำงานไม่มีใครกล้าจ้างเด็กเหล่านี้เข้าทำงาน (เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานเด็ก) นับเป็นความสูญเปล่าที่ยังไม่ได้แก้ไขให้สำเร็จ

..ยิ่งกว่านั้น เมื่อเข้าสู่วัยที่ต้องเลือกเรียนต่อสายสามัญและอาชีวศึกษา พบว่ามีเด็กวัย 15-17 ปีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านคน เรียนต่อเพียง 2 ล้านคน แบ่งเป็นเรียนต่อสายสามัญ 1.3 ล้านคน (48.9%) อาชีวศึกษา 0.7 ล้านคน (23.8%) (ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมายที่ต้องการให้มีผู้เรียน ปวช. ถึง 60-70%) ดังนั้น ยังมีผู้ไม่ได้เรียนต่อถึง 0.7 ล้านคน (27.1%) นับเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติเช่นกัน เพราะเด็กกลุ่มนี้หากจะทำงานก็ทำได้ไม่เต็มที่ แม้จะมีกฎหมายคุ้มครอง แต่นายจ้างก็ไม่อยากสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน

การที่ประเทศไทยมีเด็กเกิดน้อยลงอยู่แล้วแต่ยังปล่อยให้เด็กต้องออกจากโรงเรียนก่อนวัยอันควรเช่นนี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก เช่น ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลน และเยาวชนยากจน เป็นต้น

"คุณภาพการศึกษาตกต่ำ คุณภาพกำลังคนตกต่ำ จะไม่มีใครช่วยได้เชียวหรือ?"..ผอ.สถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอแหล่งภาพจาก WeGoInter.com

ปัญหารองลงมาเป็นเรื่องที่ผู้เรียนจบ ม.ปลาย และอาชีวะ (ช่วงอายุ 18-21 ปี) ปรากฏว่ามีเด็กนักเรียนถึง 43.7% หรือประมาณ 308,000 คน ไม่ได้เรียนต่ออุดมศึกษา(หรืออนุปริญญา) โดยเด็กเหล่านี้ยังไม่สามารถเข้าทำงานได้ทันทีทั้งหมด เนื่องจากบางส่วนอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ ต้องรอเกือบปีเต็ม และเป็นช่วงที่เด็กจะอ่อนไหวต่อการเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองเพื่อรอเข้าสู่ตลาดแรงงาน (ถ้าไม่กลับเข้าไปเรียนต่อ) จึงมีจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน เกิดความสูญเสียต่อประเทศชาติ จนไม่อาจประเมินได้

ดังนั้น เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำนักงาน กศน. และ/หรือหน่วยงานประชารัฐ จะต้องจัดฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้ได้มีโอกาสเพิ่มเติมความรู้ และประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ขาดแคลนแรงงาน จำนวนนับแสนคนได้ นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่เข้าเรียนอุดมศึกษาปีที่ 1 ไม่ได้มาลงทะเบียน หรือออกจากระบบการศึกษาถึง 38.6% ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงเช่นกัน นับเป็นความสูญเปล่าต่อประเทศเป็นอย่างมาก

สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีหน้าที่โดยตรงที่ต้องนำนักเรียนที่อยู่ในวัยการศึกษาภาคบังคับกลับเข้าเรียนหนังสือ และ/หรือเทียบการศึกษา (อาจจะโดยสำนักงาน กศน.) เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นมีความรู้ติดตัว เพื่อสามารถเข้ารับการฝึกอบรมในระดับเหมาะสมกับวัย และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานประชารัฐ

"คุณภาพการศึกษาตกต่ำ คุณภาพกำลังคนตกต่ำ จะไม่มีใครช่วยได้เชียวหรือ?"..ผอ.สถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอแหล่งภาพจาก มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

ที่จริงแล้วการสูญเสียอันเกิดจากเด็กนักเรียนไม่ได้เรียนทุกคนนั้นเป็นความสูญเสียเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีผู้ที่ทั้งอยู่ และไม่ได้อยู่ในกำลังแรงงานอีกส่วน คือคนว่างงานเกือบ 1.2 ล้านคน ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่สามารถสนับสนุนมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และยังเป็นภาระให้กับประเทศอีกด้วย ถ้าตัดกลุ่มพระและเณรออกไป กลุ่มที่เหลือเข้าข่าย "เสียของ" โดยเฉพาะผู้ต้องโทษ หรือผู้อยู่ในสถานพินิจฯ ถึงแม้ว่าจะได้รับอิสรภาพแล้ว แต่ก็มีปัญหาในการเข้าทำงานในระบบ อันเกิดจากสังคมยังไม่เปิดกว้างยอมรับกำลังแรงงาน "มีตำหนิ" เหล่านี้ ทำให้อยู่ในภาวะ "ถูกรอนสิทธิ" การช่วยเหลือกลุ่มนี้ คือการส่งเสริมให้ทำงานอาชีพอิสระหรือสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมผ่อนปรนกฎระเบียบให้รับผู้ต้องขังเข้าทำงานให้มากขึ้น

เมื่อย้อนกลับไปดู ประชากรวัยแรงงานที่อยู่ในกำลังแรงงาน 37.2 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำเป็นส่วนใหญ่ 36.65 ล้านคน มีพลังในการสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจไม่เท่ากัน เนื่องจากแรงงาน/คนทำงานมีคุณภาพ (การศึกษา) สูงต่ำแตกต่างกัน ถ้าจำแนกแรงานกลุ่มนี้ออกเป็น 2 ส่วน

คือแรงงานในระบบ (ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายมีเพียงประมาณ 15.34 ล้านคน หรือ 41.2% เท่านั้น) ถ้าตัดนายจ้างออก 0.94 ล้านคน จะเหลือลูกจ้างเอกชนเพียง 14.4 ล้านคน ซึ่งประเทศไทย พึ่งพาการสร้างรายได้ในรูปมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยจากกำลังแรงงานเพียง 41.8% เป็นแรงงานที่มีคุณภาพระดับ semi-skilled ขึ้นไป

แต่กำลังแรงงานส่วนใหญ่ เป็นแรงงาน (หรือคนทำงาน) นอกระบบ (ไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย) จำนวน 21.31 ล้านคน หรือ 58.2% แรงงานกลุ่มนี้อยู่ในภาคเกษตรถึง 11.04 ล้านคน มากกว่า 51.8% ของแรงงานนอกระบบ ส่วนมากมีคุณภาพ (ระดับการศึกษา) ระดับประถมศึกษา หรือต่ำกว่าเกือบ 50% ทำการผลิตทางการเกษตรเชิงเดี่ยว มีผลิตภาพต่ำทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำมาก อีก 10.27 ล้านคน ส่วนใหญ่ทำงานส่วนตัว ซึ่งมีจำนวนน้อยที่ประสบความสำเร็จในการหารายได้ที่มั่นคง ซึ่งเป็นข้อจำกัดอย่างยิ่งที่จะมีส่วนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจในระดับที่สูง(ช่วยสนับสนุนให้เป็นประเทศพัฒนาแล้ว)

สิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการไปแล้วคือ พยายามนำประเทศไทย ให้ก้าวข้ามประเทศที่ติดกับดักประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลางไปให้ได้ โดยกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศระยะยาว 20 ปี พร้อมกับปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมุ่งสู่นวัตกรรม 4.0 (ไทยแลนด์ 4.0) ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบเดิมๆ รวมเวลา 55 ปี พิสูจน์แล้วว่าประเทศไทยพัฒนาเศรษฐกิจได้ช้ากว่าประเทศที่เริ่มพัฒนามาพร้อม ๆ กัน คือ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย

"คุณภาพการศึกษาตกต่ำ คุณภาพกำลังคนตกต่ำ จะไม่มีใครช่วยได้เชียวหรือ?"..ผอ.สถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอแหล่งภาพจาก The American School of Bangkok

จุดอ่อนของประเทศไทยคือ มีปัญหาที่การผลิตและพัฒนากำลังคน (ด้านอุปทาน) และปัญหาการผลิตและการค้าที่ขาดนวัตกรรม (ด้านอุปสงค์) การที่ประเทศไทยกำลังปรับโครงสร้างการผลิต/อุตสาหกรรมบริการ ในช่วง 20 ปีข้างหน้า นับว่าเดินมาถูกทาง แต่รัฐก็ต้องเผชิญปัญหาหลายประการ หรืออย่างน้อยจะพบว่าประเทศไทยยังขาดนักพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความสามารถระดับโลก

สังเกตได้จากรายชื่อมหาวิทยาลัยวิจัย ที่ไทยมีอยู่ติดลำดับไม่ถึง 100 ของโลก มีนวัตกรรมในรูปสิทธิบัตรค่อนข้างน้อย และมีผลงานวิจัยที่จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ค่อนข้างจำกัด มีผู้มีงานทำที่จบสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นับล้านคน แต่ส่วนใหญ่ทำงานไม่ตรงกับสาขาที่ศึกษา มีกำลังแรงงานเพียง 41% ของกำลังแรงงานที่อยู่ในข่ายสนับสนุน ทั้งหมด 8.12 ล้านคนในภาคอุตสาหกรรม (หรือ 21.8% ของกำลังแรงงาน) และมีแรงงานสาขาเทคนิคหรือจัดในกลุ่ม productive work force ไม่ถึง 2 ล้านคน ซึ่งยังมีน้อยมากเทียบกับกำลังแรงงาน 37.2ล้านคน

ที่มา: https://www.siamrath.co.th/n/28669

แชร์