เดลิเมล์ - ดั๊ก ฮอว์กิ้น ผู้เชี่ยวชาญจากสถานบัน Hardman Agribusiness หน่วยงานวิจัยด้านตลาดการเกษตรในอังกฤษเผยว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้า โลกจะผลิตช็อกโกแลตได้ไม่ทันความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 1 แสนตันต่อปี โดยนับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ผู้บริโภคในจีน อินโดนีเซีย อินเดีย บราซิล หันมาบริโภคช็อกโกแลตมากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคในยุโรปรับประทานโกโก้เฉลี่ยอยู่ที่ 286 บาร์ต่อปี ซึ่งต้องใช้ผลโกโก้ถึง 10 ต้นในการผลิต

ดั๊กกล่าวว่า ต้นโกโก้ต่างจากพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นที่มีการพัฒนาสายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา แต่โกโก้ราวร้อยละ 90 เปอร์เซ็นต์ที่ผลิตบนโลกยังคงปลูกในฟาร์มของผู้ผลิตรายย่อยในแอฟริกาที่ไม่ได้รับมาตรฐาน ไม่ได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์ รวมถึงกรรมวิธีการปลูก เนื่องจากประเทศผู้ผลิตโกโก้เป็นประเทศยากจน

รายงานยังเผยว่า ผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่อยู่ที่ประเทศกานา และไอเวอร์รี่ โคสต์ ซึ่งส่งออกโกโก้มากกว่าครึ่งของตลาดโลก ประกอบกับการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำสวนปลูกต้นโกโก้อย่างผิดกฎหมายที่ยังคงมีเพิ่มมากขึ้นตามความต้องการของตลาด

นอกจากนี้สภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบต่อแหล่งปลูกต้นโกโก้ เนื่องจากใน 30 ปีข้างหน้า อุณภูมิของโลกจะสูงขึ้นราว 2.1 องศา ตามรายงานของ NOAA หรือหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยาและมหาสมุทรของสหรัฐ 

ถึงแม้จะดูเพียงน้อยนิด แต่ก็มากพอที่จะทำลายพื้นที่ปลูกโกโก้ซึ่งมีเพียงไม่กี่แห่งบนโลก เนื่องจากโกโก้เป็นพืชเขตร้อนที่ต้องอาศัยความชื้น และฝนที่ตกอย่างพอเหมาะ โดยโกโก้คุณภาพดีจะปลูกได้เพียงพื้นที่ 20 องศาเหนือใต้เส้นศุนย์สูตรเท่านั้น ทำให้มีเพียงไม่กี่ประเทศบนโลกที่สามารถผลิตโกโก้คุณภาพดี 

ด้วยจำนวนความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ภายใน 40 ปีข้างหน้า อาจส่งผลให้ธุรกิจผลิตช็อกโกแลตต้องหดตัว จนโลกอาจเข้าสู่ยุดมืดจากความหวานของโกโก้ก็เป็นได้

ขอขอบคุณ : โพสต์ทูเดย์ 

https://www.posttoday.com/world/news/533355