พิธีกรรมเกี่ยวกับคนตายล้วนมีความหมายลึกซึ้งแฝงด้วยคติธรรม
ความหมายที่แท้จริงของพิธีกรรมต่างเกี่ยวกับคนตาย ที่ทำสืบต่อกันมาทั้งการล้างหน้าด้วยน้ำมะพร้าว,มัดตราสังข์,บวชหน้าไฟ ,เคาะโลงรับศีล ความหมายที่โบราณท่านว่าไว้ว่า จริง ๆ พิธีกรรมแต่ละอย่างนั้นแฝงความหมายและคติธรรมอะไรบ้าง http://winne.ws/n21772
มัดตราสังข์สามเปลาะ ผู้ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น
เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลย.......
เชื่อว่าหลาย ๆ ทานยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของพิธีกรรมต่างเกี่ยวกับคนตาย ที่ทำสืบต่อกันมาทั้งการล้างหน้าด้วยน้ำมะพร้าว,มัดตราสังข์,บวชหน้าไฟ ,เคาะโลงรับศีลเป็นต้น แต่ทุกคนก็ทำตาม ๆ กันมาเพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ดี มาวันนี้ เรามารู้ความหมายที่โบราณท่านว่าไว้ว่า จริง ๆ พิธีกรรมแต่ละอย่างนั้นแฝงความหมายและคติธรรมอะไรบ้าง
๑. มัดตราสังข์สามเปลาะ
มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก
มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี - ภรรยา
มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ
ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้
ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น
เคาะโลงรับศีล การบอกคนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
๒. เคาะโลงรับศีล
ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีล
แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า
อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
๓. สวดอภิธรรม
มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวันดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวด
ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้
สวดอภิธรรม สอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติแม้ฟังไม่เข้าใจ ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้
๔. บวชหน้าไฟ
มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้รนสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟ
เป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณะเพศ มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน
การบวชหน้าไฟแฝงนัยยะว่า เป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย
๕. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ
เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่
ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า
๖. การเวียนซ้าย ๓ รอบ
หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลสตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย
น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม
๗. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม
๘. การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิ
และมีการเขี่ยขี้เถ้าผู้ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป
"อย่ามัวแต่หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ หลงตำแหน่งหน้าที่การงานอยู่ สิ่งทั้งหลายเอาไปตอนตายไม่ได้"
การให้ธรรมทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง
สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ
ขอบคุณที่มา:เรื่องเล่าชาวสยาม