สโตร์หน้าวัด..เรื่องเล่าโดยพระมหาเถระ รุ่นบุกเบิก !!
ในชีวิตหนึ่งของคนเรานั้น ถ้าเปรียบแล้วก็คงเป็นเช่นเดียวกับสโตร์ ที่ได้เก็บสะสมเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตที่ประสพพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ การต่อสู้กับอุปสรรค ความทรงจำ แง่คิดมุมมอง เก็บความคิด ความฝัน เก็บทุกอย่างรวมกันไว้ใน “สโตร์ชีวิต” http://winne.ws/n22307
‘จุดเริ่มต้น’
คนเขาเห็นภาพออฟฟิศสนามในสมัยก่อนของหลวงพี่ แล้วนำไปให้ทีมงานก่อสร้างในปัจจุบันดู เพื่อที่จะบอกว่า สมัยก่อนออฟฟิศของหลวงพี่นั้นไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีมุ้งลวด เวลากลางคืนต้องจุดยากันยุงเพราะยุงชุมมาก หลวงพี่ทำงานอยู่ที่ออฟฟิศนี้จะออกจากออฟฟิศก็ไม่ต่ำกว่า 5 ทุ่ม แล้วถึงเดินทางกลับไปพักที่กุฏิซึ่งอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางเกือบกิโล
ออฟฟิศสนามนี้คุณสัมพันธ์เขายกมาถวาย ตอนที่ยกมามีแต่กรอบกับโครงร่างและไม้พื้น ส่วนหลังคาที่เป็นเพิงหมาแหงนนี้หลวงพี่หามาใส่เองขนาดออฟฟิศกว้างไม่ถึง 3.2 เมตร ยาวราวๆ 4.8 เมตร หลวงพี่ก็ทำงานกับหลวงพี่มหาชิโตอยู่ในห้องนี้ หลวงพี่ทาสีใหม่จนสวย ผนังเป็นสีน้ำเงินสดใสแล้วกรอบหน้าต่างตัดเป็นสีขาวเป็นไม้อัดที่ได้จากลังใส่ของเป็นของฟรีทั้งนั้น
ในรูปตอนนี้ออฟฟิศสนามตั้งอยู่ที่ห้องส้วมทรงกระบอกข้างโบสถ์เดิมจะอยู่ก่อนถึงสี่แยกหน้าโบสถ์ตรงหัวมุม นี่คือครั้งที่ 1 ที่เขาถวายมา
พอเราปรับหน้าดินเพื่อสร้างโบสถ์แล้ว ออฟฟิศสนามก็ถูกย้ายเข้าไปไว้ที่วิสุงคามสีมาในปัจจุบัน ตรงทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่อยู่ในสนามหญ้านี่เป็นการย้ายครั้งที่ 2
พอเริ่มตั้งแบบช่อฟ้า ทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ออฟฟิศสนามถูกย้ายจากจุดนี้ไปไว้ที่ห้องส้วมทรงกระบอกข้างโบสถ์ เป็นการย้ายครั้งที่ 3
ครั้งที่ 4 ย้ายไปอยู่ทางด้านเกาะประดู่ เพราะโบสถ์สร้างจะเสร็จแล้วตอนนั้นรอบโบสถ์ยังเป็นเกาะเพราะยังไม่ได้ถมดิน ก็ย้ายไปที่เกาะประดู่ทางขวาของถนน
ย้ายครั้งที่ 5 หลังจากที่ถมดินเสร็จเรียบร้อย ทำกำแพง ทำถนน ทำทุกอย่างเรียบร้อย ย้ายข้ามถนนมาตั้งไว้ทางนี้ (มุมกำแพงหน้าวัด)
ครั้งที่ 6 ย้ายมาอยู่ตรงสโตร์หน้าวัดเรื่อยมาจนเป็นออฟฟิศในปัจจุบัน
เรื่องราวของหมู่คณะเราที่ร่วมสร้างบารมี แต่ละคนตั้งแต่เด็กๆ มาจะไม่เหมือนกับทั่วๆ ไป เวลาเรามองเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับบุคคล สังคม สิ่งแวดล้อม หรือเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีคนส่วนใหญ่เขามีความคิด มีความฝัน มีความต้องการ แต่พวกเราจะมีข้อคิดที่ต่างออกไป
ตอนอายุประมาณ 5 ขวบหรือ 6 ขวบ หลวงพี่ได้ไปร่วมงานศพและเป็นครั้งแรกที่รู้จักความตาย ในขณะที่เด็กคนอื่นเขาสนุกสนานมีขนมเลี้ยง มีน้ำหวานเลี้ยง แต่เรานั่งซึม และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉุกคิดขึ้นว่า คนเราเกิดมาแล้วต้องตายด้วยหรือ
จากที่สังเกตนักสร้างบารมีด้วยกันพบว่าบางท่านร้องเพลงไม่เป็นหลวงพี่ว่ามีพวกเราหรือหลายคนเหมือนกันที่ร้องเพลงไม่เป็น แต่ถ้าให้สวดมนต์สามารถจำบทสวดได้เร็วและสวดได้คล่อง แต่พอให้ร้องเพลงกลับเป็นเรื่องที่ยาก พอร้องออกมาแล้วเสียงเพี้ยนไปหมด บางท่านแม้แต่เพลงชาติไทย เสียงร้องยังออกมาแปร่งๆ และเพี้ยน การจับสำเนียงหรือทำนองเพลงก็จับไม่ได้ ฟังเมโลดี้แล้วให้ร้องออกมา ก็ร้องไม่ได้ถึงร้องออกมาได้ก็คงไม่เป็นเพลง แต่สำหรับหลวงพี่ถ้าเรื่องร้องเพลงหลวงพี่ร้องเป็น
เพลงแรกที่ร้องได้เป็นเพลงเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ยังจำได้ถึงเนื้อหาของเพลงที่บอกว่า ‘ปางเมื่อพุทธองค์ทรงภาวนา บำเพ็ญทุกรกิริยา ตัดปวงตัณหาราคี สละบัลลังก์ ทิ้งเวียงวังแม้ราชินี ออกผนวชเพื่อหนีจากบ่วงโลกีย์ อย่างมิประวิง…’ นี่เป็นเพลงแรกที่หลวงพี่ร้องได้หมดทั้งเพลง และร้องได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ
หลวงพี่ชอบเพลงนี้มาก มันเป็นเพลงโบราณที่จำได้ร้องได้หมดทั้งเพลง เมื่อนั่งนึกและมองย้อนกลับไป ชีวิตของเรามันก็แปลกๆ เหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉุกคิดในช่วงต่อมา
ขณะที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นหลวงพี่กำลังสอบ รุ่นน้องเขามาบอกว่าจะมีการฝึกสมาธิช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนในปี พ.ศ. 2515 มีโปรเตอร์เชิญชวนอบรมธรรมทายาทมาติดไว้ที่คณะวิศวะฯ ที่หลวงพี่เรียนอยู่ พอรู้ว่ามีการฝึกสมาธิ อบรมธรรมทายาท เรื่องนี้ได้เข้ามากระแทกใจหลวงพี่อย่างแรง เพราะนี้เป็นสิ่งที่หลวงพี่ค้นมาตั้งแต่เด็ก
หลวงพี่อยากจะนั่งสมาธิและก็พยายามนั่งแบบไม่มีครูบาอาจารย์หลวงพี่นั่งเองตามประสาเด็ก และค้นคว้าหาวัด หาที่ปฏิบัติธรรม พอผ่านวัดไหมที่มีคำลงท้ายว่า ‘วิปัสสนา’ หลวงพี่จะหูผึ่งและจำไว้ พอมีเวลาจะต้องตามเข้าไปที่วัดที่จำไว้นี้ให้ได้
นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลวงพี่ได้เข้ามาสู่เส้นทางการสร้างบารมี
ที่มา หนังสือ สโตร์หน้าวัด
Cr. Coke Alongkorn