"ทุกข์จากความตาย"จากความทรงจำโดยอุบาสิกาถวิล วัติรางกูล ตอนที่1

ข้าพเจ้าอยากจะเล่าถึงความทุกข์จากความตายให้ท่านผู้อ่านฟัง ก็ไม่รู้จะเล่าอย่างไร เพราะข้าพเจ้าเองยังไม่เคยตาย เพียงแต่เคยใกล้ตาย เช่น จมน้ำ สําลักหมดสติบ้าง ถูกวางยาสลบบ้าง แต่ฟังจากปากคนที่เคยตายมา ๓ ราย ความทุกข์ตอนใกล้จะหมดสติ http://winne.ws/n22387

1.2 พัน ผู้เข้าชม
"ทุกข์จากความตาย"จากความทรงจำโดยอุบาสิกาถวิล วัติรางกูล ตอนที่1

ข้าพเจ้าอยากจะเล่าถึงความทุกข์จากความตายให้ท่านผู้อ่านฟัง ก็ไม่รู้จะเล่าอย่างไร เพราะข้าพเจ้าเองยังไม่เคยตาย เพียงแต่เคยใกล้ตาย เช่น จมน้ำ สําลักหมดสติบ้าง ถูกวางยาสลบบ้าง นอกนั้นแล้ว เพียงแต่ฟังจากปากคนที่เคยตายมา ๓ ราย ความทุกข์ตอนใกล้จะหมดสติ หรือใกล้สลบก็ตามเป็นทุกข์เพราะกลัวตายมากกว่า เมื่อรู้ว่าใกล้ตาย มันให้รู้สึกว้าเหว่ วังเวง ไม่รู้จะไปทางไหน สําหรับคนที่ข้าพเจ้ารู้จักเคยตายแล้วฟื้น ก็เล่าในทํานองเดียวกัน คือทุกข์เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน ไม่มีที่พึ่ง ต้องเดินทางคนเดียวตามลําพัง ไร้ญาติขาดมิตร ทุกข์เพราะเป็นห่วงคนข้างหลัง

ครั้งเมื่อข้าพเจ้าอายุราว ๑๔-๑๕ ปี ไปว่ายน้ำเล่น มีเด็กอายุ ๘-๙ ขวบโผตัวเข้ามากอดหลังข้าพเจ้า เด็กว่ายน้ำไม่เป็น จึงกอดไหล่ข้าพเจ้าไว้แน่น ทําให้ไม่สามารถใช้แขนและมือพุ้ยน้ำพยุงตัวได้ เราทั้งสองคนจึงจมดิ่งลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่าง ยิ่งข้าพเจ้าดิ้นรนเพื่อใช้แขนว่ายน้ำเท่าใด เด็กผู้นั้นก็ยิ่งกอดข้าพเจ้าแน่นด้วยความกลัวมากขึ้นเท่านั้น

พากันจมอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งมีคนว่ายน้ำมาดึงตัวเด็กออกไป เพราะเขามองเห็นผมของแกลอยปริ่มน้ำขึ้นมา เวลานั้นข้าพเจ้าหมดกำลังไม่สามารถพยุงตนเองว่ายโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาได้ กลับจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำลึกลงไป รู้สึกห้ามตนเองไม่ได้ ต้องกินน้ำเข้าไปอึกแล้วอึกเล่า ดูเหมือนท้องตนเองกางออกเหมือนจะระเบิด นึกรู้ว่ากําลังจะต้องตายแน่ รู้สึกเสียใจอย่างรุนแรง ความทุกข์ตอนนั้นคิดเป็นห่วงบิดามารดา คิดปรารถนาตอบแทนบุญคุณของท่าน กล่าวคําในใจลาตายต่อพ่อแม่ แล้วความรู้สึกทั้งหมดก็ดับวูบลง

จวนเจียนใกล้เวลาหมดสติขาดความรู้สึกตัวทั้งสิ้นลงนั้น กินเวลาไม่นานนัก คิดแล้วเป็นเพียงไม่กี่วินาที ถ้าพูดถึงความทุกข์ในเวลาที่ต้องตายจริงๆ คือในขณะดวงจิตดับลง ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นทุกข์น้อยกว่าความทุกข์ทรมานเพราะเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นปวดศีรษะ ปวดท้อง เจ็บปวดบาดแผล หรืออะไรๆ ที่เป็นทุกข์ทางกายมักจะกินเวลานานกว่า บางทีเป็นชั่วโมง เป็นวันๆ เจ็บป่วยบางอย่างเป็นเดือนเป็นปี แต่ตอนตายนั้นชั่วแวบเดียวเท่านั้นเอง

"ทุกข์จากความตาย"จากความทรงจำโดยอุบาสิกาถวิล วัติรางกูล ตอนที่1

ครั้งที่สองที่เหมือนใกล้ตาย ก็คือการถูกวางยาสลบเตรียมถูกผ่าตัด มีความกังวลว่า ถ้าสลบไปแล้วไม่ฟื้น จะต้องไปที่ไหน ความห่วงเรื่อง ไปไหน” นี่ต่างหากที่ดูจะเป็นความทุกข์ที่แท้จริงของความตาย เมื่อแพทย์ให้ยาข้าพเจ้าดมแล้ว สักครู่ก็รู้สึกว่าเสียงพูดคุยของแพทย์และพยาบาลค่อยๆ เบาลงทีละน้อยๆ แต่ก็ยังรู้สึกตัว ข้าพเจ้าใช้วิธีกระดิกนิ้ว ให้แพทย์รู้ว่าข้าพเจ้ายังไม่สลบ แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้ ครู่หนึ่งนิ้วก็ไม่สามารถสั่งให้กระดิกได้ ยังได้ยินเสียงแพทย์ พูดคุยกันแผ่วเบา เหมือนอยู่ไกลๆ ท้ายที่สุดรู้สึกเหมือนใครเอาสําลีชุบน้ำอุ่นๆ ลากพาดตรงท้อง (ความจริงคงเป็นขณะแพทย์ลงมือใช้มีดกรีดหนังและเนื้อหน้าท้อง แต่ประสาทรับความรู้สึกทางกายถูกยาสลบควบคุมไว้ จึงทําให้ไม่เจ็บปวด รู้สึกเพียงอุ่นๆ ต่อจากนั้นเมื่อสั่งให้ร่างกายทําอะไรไม่ได้อีก ข้าพเจ้าจึงตั้งใจหลับ ก็คงเหมือนตาย ไม่ใช่ตายจริง แต่เป็นตายแบบจําลอง เมื่อฟื้นขึ้นมาก็เห็นว่า ถ้าตอนสลบอยู่นั้นจะไม่มีการฟื้น เป็นการตายไปจริงๆ ความตายก็เป็นสิ่งไม่น่ากลัว ไม่ทุกข์ทรมานเท่าความเจ็บ คงมีที่น่ากลัวอยู่เพียงเรื่องเดียวคือ ตายแล้วไม่รู้จะไปไหน สิ่งที่เราไม่รู้เกี่ยวกับความตายมีอยู่ ๕ อย่างคือ

อย่างแรก ตายอายุเท่าไหร่ รู้ไม่ได้ ไม่รู้จะตายตอนเด็ก ตอนหนุ่มสาว ตอนกลางคน หรือตอนแก่

อย่างที่สอง ตายด้วยโรคหรืออาการอย่างไร ก็ไม่รู้ อาจจะเจ็บป่วย เป็นลม หรืออุบัติเหตุ ฯลฯ

อย่างที่สาม ไม่รู้จะตายเวลาใด กลางวันกลางคืน กี่โมงกี่ยาม ไม่สามารถรู้กําหนดแน่นอน

อย่างที่สี่ สถานที่ที่จะตาย ก็ไม่มีทางรู้ได้ บนฟ้า กลางดิน หรือในทะเล รู้ไม่ได้ทั้งสิ้น

อย่างที่ห้า ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน เป็นอย่างไร ก็ไม่มีทางทราบอีกเหมือนกัน

ข้าพเจ้าเล่าถึงตนเองเมื่อใกล้หมดสติหรือใกล้สลบ สิ่งที่เป็นทุกข์ หวาดหวั่น คือไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ต่อมาได้รู้จักบุคคลบางท่าน ซึ่งเคยตายแล้วฟื้น ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ความทุกข์จากการตายคือไม่รู้ว่าตายแล้วจะถูกพาไปที่ไหน และทุกข์เพราะไม่อยากจากคนที่ตนรัก

"ทุกข์จากความตาย"จากความทรงจำโดยอุบาสิกาถวิล วัติรางกูล ตอนที่1

ปลายปี ๒๕๓๐ ดูจะเป็นราวกลางๆ เดือนธันวาคม สมาชิกกลุ่มปฏิบัติธรรมของกรมชลประทานได้มากล่าวชวน

คุณป้าคะ วันศุกร์ตอนบ่ายอาทิตย์นี้ พันเอกพิเศษเสนาะ จินตรัตน์ นายทหารที่เคยตายแล้วฟื้นมาสองครั้ง จะมาเล่าประสบการณ์ให้ข้าราชการและผู้สนใจฟังที่ห้องประชุมของกรมฯ น่ะค่ะ คุณป้าจะไปฟังกับพวกเราไหมคะ”

ไปซี ป้าก็ชอบฟัง จะได้นํามาไต่สวนเทียบเคียงกันดูว่าที่พันเอกเสนาะไปพบเห็น เมื่อนํามาเปรียบเทียบกับธรรมปริยัติและธรรมฝ่ายภาคปฏิบัติ มีเหมือนกันหรือแตกต่างกันยังไงบ้าง” ข้าพเจ้าตอบรับ และได้ไปตามกําหนดนัด

คําบอกเล่าของนายทหารซึ่งเคยตายแล้วฟื้น ได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้พบมาระหว่างที่หัวใจหยุดทํางาน และหมดลมหายใจลงทั้งสองครั้ง ครั้งแรกหมดแรงเพราะเล่นไพ่หามรุ่งหามค่ำค้างวันค้างคืน อยู่กับเพื่อน ไม่ได้รับประทานอาหาร

ผมลืมตาไม่ขึ้น ได้ยินเสียงเหมือนระฆังดังแว่วๆ มีเสียงเหมือนพระสวดมนต์ รู้ว่าแม่ของผมเอาดอกไม้ธูปเทียนใส่ในมือ บอกผมให้นึกถึงพระอะระหัง ผมรู้สึกคอแห้ง จึงแลบลิ้นเลียริมฝีปาก (ตอนฟื้นผู้เฝ้าไข้บอกว่าแลบลิ้นยาวมาก) น้ำตาของแม่ที่หยดลงถูกผม ผมรู้สึกว่าเย้น...เย็น ต่อจากนั้นจึงได้ยินเสียงมีอํานาจมาก (แต่มองไม่เห็นตัวคนพูด) เรียกชื่อผม บอกว่าผมตายแล้ว ให้ทําตามคําสั่ง

คําสั่งที่ได้รับคือให้เดินไปตามทาง ตลอดทางมีกลิ่นหอมประหลาดจากรากไม้ มีผู้คนร่วมเดินทางมากมาย ล้วนแต่นุ่งห่มคลุมศีรษะด้วยผ้าขาว ใบหน้าของเพื่อนร่วมทางเละๆ เหมือนมะขามเปียก ตามสองข้างทางมีอาหารวางเรียงอยู่เต็ม เมื่อถึงอาหารที่เคยใส่บาตรไว้สมัยมีชีวิต เจ้าหน้าที่ก็จัดให้รับประทาน แต่ไม่มีน้ำให้ดื่ม เพราะไม่เคยทําบุญด้วยน้ำไว้เลย”

พันเอกเสนาะฯ รู้สึกเสียใจ และคิดอยากกลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง เพื่อมีโอกาสทําบุญด้วยน้ำ ท่านจึงหนีจนหกล้มและได้ฟื้นขึ้นมา จึงได้เริ่มประกอบกุศลกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้น

การตายครั้งที่สอง มีรายละเอียดต่างๆ มากกว่าครั้งแรกมีแผ่นแก้วมารองรับให้นอนไป ไม่มีเสียงวางอํานาจน่าเกรงกลัวอย่างครั้งแรก อาจเป็นเพราะครั้งหลังประกอบกุศลกรรมก่อนตายไว้มาก ได้พบเห็นที่อยู่ใหม่ของตนเองในสวรรค์ ได้เห็นเพื่อนที่ตายแล้วไปอยู่กันอย่างไร และรู้เห็นว่าเพื่อนคนใดกําลังจะตายไปตามลําดับก่อนหลัง รู้ถึงวันตายของตนเองแน่นอนในครั้งที่สาม ได้เห็นทั้งนรกและสวรรค์

สรุปแล้ว ข้าพเจ้าพอประมวลความรู้สึกของผู้เล่าได้ว่า ในการตายครั้งแรกมีความทุกข์ใจมาก เป็นห่วงมารดา ภรรยาและลูกๆ ที่อยู่เบื้องหลัง ที่ไม่สบายใจมากที่สุดคงจะเป็นความว้าเหว่ที่ต้องเดินทางคนเดียวในการตายครั้งแรก และไม่รู้จุดหมายปลายทาง

Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำเล่ม ๔ บทที่ ๗


ขอบคุณที่มา lifE&Soul

ภาพจากwww.google.co.th

อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล

"ทุกข์จากความตาย"จากความทรงจำโดยอุบาสิกาถวิล วัติรางกูล ตอนที่1
แชร์