แรงบันดาลใจ จากพระไตรปิฎก ตอน ยิ่งมืดยิ่งใกล้สว่าง

ความหดหู่ทดท้อ หมดกำลังใจ เพราะเผชิญกับความลำบากแสนสาหัส ในขณะวิบากกรรมกำลังส่งผล มักทำให้หลายคน อยากตัดสินใจยุติชีวิตเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ในปัจจุบัน แต่นั่นเป็นการดื่มยาพิษแก้กระหาย มิใช่หนทางการแก้ปัญหาที่แท้จริง http://winne.ws/n23622

864 ผู้เข้าชม
แรงบันดาลใจ จากพระไตรปิฎก ตอน ยิ่งมืดยิ่งใกล้สว่าง

ความหดหู่ทดท้อ  หมดกำลังใจเพราะเผชิญกับความลำบากแสนสาหัส ในขณะวิบากกรรมกำลังส่งผล มักทำให้หลายคน อยากตัดสินใจยุติชีวิตเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ในปัจจุบัน  แต่นั่นเป็นการดื่มยาพิษแก้กระหาย  มิใช่หนทางการแก้ปัญหาที่แท้จริง  ขอให้เชื่อเถิดว่าคุณค่าในตัวเรายิ่งใหญ่นัก เกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ ความทุกข์เผ็ดร้อนเป็นดังหมอกควัน ที่ปกคลุมอำพรางมิให้ส่องแสงสว่างอันเจิดจ้าแห่งความสุข  ที่อยู่ภายในของทุกคน  ดังเรื่องราวจริงในสมัยพุทธกาล

              มีนางทาสี ชื่อว่า รัชชุมาลา เป็นทาสในเรือนเบี้ย คือ เกิดมาเป็นทาส  เพราะพ่อแม่เป็นทาสในตระกูลพราหมณ์คนหนึ่ง  ในกรุงสาวัตถี วันหนึ่งตระกูลนั้นได้แต่งสะใภ้เข้ามาแล้วตั้งให้เป็นใหญ่ในเรือน  นับแต่นางเห็นลูกสาวทาสี ก็ไม่ชอบหน้าด้วยเหตุที่ผูกเวรกันมาข้ามชาติ  นางแสดงอาการฮึดฮัดด่าว่าด้วยความโกรธ  และชูกำหมัดใส่ลูกสาวทาสีนั้น  เมื่อลูกสาวทาสีเติบโตขึ้นพอจะทำการงานได้  นางก็ใช้เข่า ศอก กำหมัด ทุบตีเธอประจำ

             เมื่อเบียดเบียนอยู่อย่างนี้ โดยไม่มีเหตุที่สมควรเลย นางได้จิกผม ใช้ทั้งมือทั้งเท้าตบถีบอย่างเต็มที่ ทาสีนั้นเมื่อโดนทำร้ายบ่อยๆ จึงไปศาลาอาบน้ำแล้ว โกนผมเสียเกลี้ยง เมื่อหญิงสะใภ้เห็นจึงกล่าวว่า “เฮ้ย อีทาสีชั่ว เพียงโกนผมเกลี้ยมึงคิดว่าจะพ้นหรือ”  แล้วเอาเชือกพันศรีษะจับนางให้ก้มลงเฆี่ยนตรงนั้น และสั่งไม่ให้นางเอาเชือกนั้นออก นางทาสีจึงได้ชื่อว่า  รัชชุมาลา(ผู้มีเชือกเป็นมาลา)  ตั้งแต่นั้นมา

 นางรัชชุมาลาได้รับทุกข์ทรมานเช่นนั้นทุกๆวันอยู่นานหลายปี  จนสุดความอดทน  วันหนึ่งจึงคิดว่า “จะมีประโยชน์อะไร  ด้วยชีวิตอันลำเค็ญเช่นนี้ของเรา”  เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต  คิดจะฆ่าตัวตาย

              ในวันนั้นเอง ตอนใกล้รุ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูสัตว์โลก เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของนางรัชชุมาลา และการดำรงอยู่ในสรณะและศีลของนางพราหมณ์สะใภ้นั้น จึงเสด็จเข้าไปป่าประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง  ทรงเปล่งรัศมี เป็นฉัพพรรณรังสี(แสง ๖ ประการ) ออกไป

              ฝ่ายนางรัชชุมาลาคิดจะผูกคอตาย จึงถือเอาหม้อน้ำออกจากเรือนไป ทำทีเดินไปท่าน้ำ เข้าไปในราวป่าตามลำดับผูกเชือกเข้ากิ่งไม้ต้นหนึ่ง ที่ไม่ไกลจากต้นไม้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง  ประสงค์จะทำเป็นบ่วงผูกคอตาย  หันมองดูไปข้างโน้นข้างนี้  ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ ณ ที่นั้น  ดูน่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง  กำลังเปล่งพระพุทธรัศมีอยู่  ครั้นเห็นแล้ว ใจก็ถูกความเคารพในพระพุทธเจ้าเหนี่ยวรั้งไว้  จึงคิดว่า "ทำไฉน พระคุณเจ้านี้จะแสดงธรรมแม้แก่คนเช่นเราที่ได้ฟังแล้ว  พึงพ้นจากชีวิตที่ลำเค็ญนี้ได้หนอ"

              ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบวาระจิตของนางแล้ว  จึงตรัสเรียกว่า “รัชชุมาลา”  นางได้ยินพระดำรัสนั้นแล้วเกิดปีติว่า “พระองค์รู้จักเรา”  เป็นประหนึ่งว่าถูกโสรจสรงด้วยน้ำอมฤต ได้ถูกปีติสัมผัสไม่ขาดสาย เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ แก่นาง  นางก็ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล  พระศาสดาทรงดำริว่า “บัดนี้นางเกิดเป็นคนใหม่ที่ใครๆ จะกำจัดไม่ได้แล้ว” แล้วจึงเสด็จจากไป

              ฝ่ายนางรัชชุมาลา  ได้เกิดใหม่ภายในเป็นโสดาบันบุคคล  กายใจผ่องใส สมบรูณ์ด้วยสิริวรรณะและพลังใจ หมดความคิดที่จะฆ่าตัวตายอีก  จึงคิดว่า “นางพราหมณ์จะฆ่าหรือจะเบียดเบียนเรา หรือจะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ช่างเถิด”  แล้วเอาหม้อตักน้ำกลับไปเรือน  ฝ่ายพราหมณ์เจ้านายยืนอยู่ที่ประตูเรือนเห็นนางแล้วจึงถามว่า “วันนี้ เธอไปท่าน้ำตั้งนานแล้วจึงมา และสีหน้าของเธอก็ดูผ่องใสยิ่งนัก เธอดูเปลี่ยนไปเพราะอะไร”  นางจึงเล่าความเป็นไปนั้นแก่เจ้านาย

              พราหมณ์ฟังคำของนางก็ยินดี  เข้าไปในเรือนแล้วกล่าวแก่ลูกสะใภ้  ไม่ให้ปฏิบัติต่อนางรัชชุมาลาเช่นเดิมอีก  แล้วไปยังสำนักของพระศาสดา  ถวายบังคมแล้ว นิมนต์พระศาสดาแล้วนำมาสู่เรือนของตน อังคลาสเลี้ยงดูด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต  พอพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จ  ชักพระหัตถ์ออกจากบาตร  จึงเข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควร

              พระศาสดาตรัสกรรมที่ผูกเวรกันมาในชาติก่อนของนางรัชชุมาลา  และของนางพราหมณ์นั้นโดยละเอียด แล้วทรงแสดงธรรมตามสมควรแก่บริษัทที่มาประชุมกัน  นางพราหมณ์และมหาชนที่ประชุมกันในที่นั้นฟังธรรมนั้นแล้ว  ต่างดำรงอยู่ในสรณะและศีล  พระศาสดาเสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ  ได้เสด็จไปกรุงสาวัตถีตามเดิม

             พราหมณ์ได้ตั้งนางรัชชุมาลาไว้ในตำแหน่งเป็นลูกสาวฝ่ายสะใภ้ของพราหมณ์ ก็มองดูนางรัชชุมาลาด้วยนัยน์ตาแสดงความรัก  หมดเวรที่อาฆาตกันมาข้ามชาติ ปฏิบัติต่อกันด้วยความสิเน่หาน่าพอใจทีเดียวตราบเท่าชีวิตหาไม่

ต่อมานางรัชชุมาลาตายไปบังเกิดเป็นเทพธิดา  ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  นางมีอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร นางประดับองค์ด้วยเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์มีประมาณบรรทุกหกสิบเล่มเกวียน  เสวยทิพยสมบัติอย่างใหญ่หลวง  มีใจเบิกบานเที่ยวเตร่ไปในสวนนันทวันเป็นต้น ครั้งนั้นท่านพระมหาโมคคัลลานะไปเที่ยวเทวจาริก  เห็นนางรุ่งโรจน์อยู่ด้วยเทวานุภาพ  ด้วยเทวฤทธิ์อันยิ่งใหญ่  จึงถามถึงกรรมที่นางได้กระทำไว้  แล้วกลับมาเล่าให้พุทธบริษัทฟัง

               จะเห็นได้ว่าเมื่อความมืดแห่งรัตติกาลมาเยือน  ยิ่งมืดหนักเข้าเท่าใด  ก็ย่อมเป็นสัญญาณว่า ความสว่างของอาทิตย์อุทัยกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า  เราต้องเชื่อมั่นว่า วิบากกรรมอันเผ็ดร้อนจากอกุศลกรรมที่ส่งผลอยู่ ย่อมมีสักวันที่หมดแรงหรือบุญที่เราสั่งสมไว้ในอดีตย่อมตามมาส่งผลสักวัน เราต้องสู้ความทุกข์ด้วยการหมั่นสั่งสมบุญไปทุกๆวัน ให้บุญเข้มข้นจนไปตัดรอนวิบากกรรมเก่าให้หมดสิ้นไป  เมื่อนั้น แสงสว่างแห่งความสุขจะมาเยือนและอยู่กับเราตราบนิรันดร์

 แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก

โดยพระมหาเถระ รุ่นปี พ.ศ. 2534 หน้า  27 - 31

แชร์