ทำไมต้องสวดมนต์??

“การสวดมนต์” หรือการสวดภาวนานั้น เป็นพิธีกรรมที่มีในทุกศาสนา ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันในด้านของความเชื่อ ความศรัทธา http://winne.ws/n23842

2.1 พัน ผู้เข้าชม

  “การสวดมนต์” หรือการสวดภาวนานั้นเป็นพิธีกรรมที่มีในทุกศาสนา ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันในด้านของความเชื่อ ความศรัทธา

  แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้แต่ละศาสนาจะมีความแตกต่างกันทางด้านความคิด ประเพณี และพิธีกรรม  แต่วัตถุประสงค์ของการสวดมนต์ภาวนานั้นกลับมีความคล้ายคลึงกัน คือ  “การปรับอารมณ์ของใจ” ด้วยการยึดเหนี่ยวคำสอนเป็นที่พึ่งเพื่อให้จิตใจเกิดความเข้มแข็ง พร้อมที่จะเผชิญหน้าและสู้กับทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ทำไมต้องสวดมนต์??ภาพ : khaosod

   การสวดมนต์ จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้นแต่ยังเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านจิตใจได้ดีอีกทางหนึ่ง  และแน่นอนว่าเมื่อเรามีสุขภาพทางใจที่ดี ก็ย่อมส่งผลต่อสุขภาพทางกายเช่นกัน  จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ ทางการแพทย์สมัยใหม่จะนำเอาวิธีการสวดมนต์บำบัด (Vibrational Therapy)มาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจควบคู่กันไป

  การสวดมนต์บำบัดคือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วยซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิตต่างจากสวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต

ทำไมต้องสวดมนต์??

รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี  อดีตหัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุขคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล   ได้ให้ความรู้ในการรักษาด้วยวิธีนี้ว่า 

“การสวดมนต์”  นับเป็นหนึ่งวิธีของการปฏิบัติสมาธิ แต่เป็นการปฏิบัติสมาธิด้วยการใช้เสียงเป็นตัวรับสัญญาณกลที่อยู่บริเวณช่องปาก เวลาสวดจะทำให้เกิดเสียงแผ่วๆไปกระตุ้นการทำงานของตัวรับสัญญาณให้เกิดผลของการผลิตสาร เคมี ผลิตสารไฟฟ้ารวมทั้งสารสื่อประสาทและโปรตีนบางตัว เพื่อทำให้เกิดการปรับสมดุลร่างกายขึ้นอยู่กับจังหวะของเสียง และการสั่นสะเทือน

หน้าที่ของตัวรับสัญญาณ คือการสัมผัส กด สั่นสะเทือนเพราะฉะนั้นสั่นสะเทือนได้ดีก็สามารถควบคุมร่างกายที่มีความบกพร่องสามารถดูแลคนที่มีปัญหาสุขภาพจิต เช่น คนที่มีความกังวลใจ นอนไม่หลับ หรือ คนที่มีแผลเรื้อรังฉะนั้นการสวดมนต์จึงเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์ขั้นสูงที่ควรเอามาประกอบการดูแลผู้ป่วย

ทำไมต้องสวดมนต์??

ยกตัวอย่าง  เวลาเราฟังเสียงสวดมนต์ อย่างเสียง ทุ้มๆ แผ่วๆ แล้วรู้สึกสบายใจจุดนี้ทางการแพทย์มีคำอธิบายให้ฟังต่ออีกว่า   “ปกติเราวุ่นวายยุ่งเหยิงสารสื่อประสาทตัวที่ทำให้สมองวุ่นวายจะกระฉูดขึ้นมา แต่ถ้าได้ยินเสียงแผ่ว ๆสารสื่อประสาทก็จะวิ่งเข้าไปหาสัญญาณตัวที่ผ่อนคลายแล้วสมองด้านวุ่นวายไม่ผ่อนคลายก็จะลดระดับลง และนี่ก็เป็นตัวแรกที่ลดระดับลง

เมื่อสวดไปซักระยะหนึ่ง สารสื่อประสาทก็จะเข้าไปส่วนสมองที่เป็นการกรองสัญญาณที่ทางการแพทย์เรียกว่า “ธารามัส” พอไปถึงตรงนั้นบริเวณตรงนี้จะปล่อยสารสื่อประสาทที่กันไม่ให้สมองชักกันไม่ให้คนก้าวร้าว ไม่ให้ฟุ้งซ่าน และสารตัวนี้ก็จะทำให้สามารถช่วยเยียวยาแผลโดยจะใช้เวลาแค่เพียง 12 นาทีและพอมาถึงจังหวะนี้คือสารเคมีในบริเวณสมองธารามัสจะออกมา ฉะนั้นต้องสวดให้ได้จังหวะเพราะสัญญาณที่เกิดสั่นสะเทือนเบาๆ ต่ำกว่า 25 เมกะเฮิร์ทซ์ จะส่งผ่านเข้ามาไม่ผ่านเข้าทางเดินอาหาร แต่ผ่านเข้าระบบทางเดินหายใจ ซึ่งก็หมายความว่าเราคุมการทำงานเส้นประสาทสมองตัวที่คุมอวัยวะข้างในได้

ทำไมต้องสวดมนต์??

จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่

รศ.ดร.สมพรเสริมว่า

  “หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้าหลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กันทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยาสิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่นก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆเข้ามารบกวนขณะสวดมนต์  เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมากเรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูกการเคลื่อนไหว และใจเหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไปร่างกายก็จะสร้าง   ซีโรโทนิน ได้ไม่มากพอ”

 และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้นคล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์


...ความแตกต่างระหว่างนั่งฟังพระสวดมนต์ หรือฟังจากสื่อธรรมะต่างๆ และ การสวดมนต์ด้วยตนเอง ต่างกันอย่างไร?...

 รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี ได้กล่าวถึงความแตกต่างของผลที่ได้รับทางวิทยาศาสตร์ว่า

“คนที่นั่งฟังอย่างเดียวสัญญาณจะเข้าทางหู และผลประโยชน์ที่ได้กับร่างกายก็จะได้แค่เพียงผ่อนคลายแต่ถ้าทำการสวดมนต์ต่างๆ นั้น ตัวตนเองจะได้ผลกับตนเองและจะได้ประโยชน์ไปถึงระดับเยียวยาบำบัดโรคได้ จุดนี้จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามและประโยชน์ก็มีอย่างมากฉะนั้นถ้าหากสะดวกฝึกระดับจิตใจร่างกายแนะนำให้ทุกคนหันมาสวดมนต์ภาวนาจะสลับกับการฟังพระสวดมนต์ และหมั่นสวดมนต์เองก็จัดว่า เป็นเรื่องดีทั้งนั้น เพราะได้ประโยชน์ทั้งจิตใจและร่างกาย

ทำไมต้องสวดมนต์??

นอกจากนี้ ทางด้าน รศ.จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี  ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้ข้อสรุปประโยชน์ของการสวดมนต์ไว้2 ข้อคือ

  1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิโดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวดเมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

  2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆจะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธาเพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงามจิตใจก็จะสะอาดขึ้นบริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆให้ทำงานเป็นปกติเท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นผู้ที่สวดมนต์ภาวนาเป็นประจำจึงเป็นผู้ที่มีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี

ทำไมต้องสวดมนต์??

  หากจะอธิบายในแง่ของศาสนาแล้ว  ธรรมะบำบัดก็คือการนำเอาหลักธรรมะไปใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านจิตใจโดยในแต่ละศาสนาอาจมีหลักการปฏิบัติแตกต่างกันออกไป  เช่น

ธรรมะบำบัดของศาสนาคริสต์ ก็คือการไถ่บาป หรือการให้อภัยแก่ตัวเอง

ส่วนศาสนาอิสลามเมื่อเกิดความทุกข์ใจ ให้มีความเชื่อใจในพระเจ้าว่าต้องสามารถผ่านด่านทดสอบไปให้ได้

สำหรับธรรมะบำบัดในทางพระพุทธศาสนานั้น คือการทำความดี  ละชั่ว ทำใจให้สงบปลอดโปร่ง ซึ่งทำได้ด้วยการทำสมาธิและการสวดมนต์

ทำไมต้องสวดมนต์??

 การสวดมนต์ของพุทธศาสนานั้นนอกจากเป็นการกล่าวสรรเสริญถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และพระธรรมคำสอนที่พระองค์ท่านได้ทรงแสดงไว้แล้ว  การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจนอกจากจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองด้านร่างกายและจิตใจแล้วหากเราหมั่นพิจารณาและทำความเข้าใจคำสอนในบทสวดมนต์นั้นบ่อยๆ ยังสามารถก่อให้เกิดปัญญามองเห็นความจริงของชีวิตและบรรลุธรรมได้เหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลายในสมัยพุทธกาลที่ได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพิจารณาธรรมไปตามลำดับจนบรรลุธรรมเป็นพระอริยสาวกในที่สุด  

  เมื่อการสวดมนต์ภาวนาส่งผลต่อสภาพร่างกายและจิตใจถึงเพียงนี้  จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผู้คนสมัยใหม่  ไม่ว่าจะเชื้อชาติ หรือศาสนาใด จึงหันมาให้ความสนใจและศึกษาเรื่องของสมาธิบำบัดกันมากขึ้น



บทความโดย : เดอะซัน

อ้างอิง : med.mahidol


 

แชร์