เรื่องจริงของโชเฟอร์แท็กซี่คนหนึ่งในกรุงไทเป

เมื่อผู้กำกับภาพยนตร์โบกแท็กซี่มาได้คันหนึ่ง หลังขึ้นนั่งเสร็จ ก็ตั้งใจใช้ความคิดกับงานที่ยังคั่งค้างอยู่... http://winne.ws/n25094

1.2 พัน ผู้เข้าชม

     "เรื่องจริงของโชเฟอร์แท็กซี่คนหนึ่งในกรุงไทเป"

     เมื่อผู้กำกับภาพยนตร์โบกแท็กซี่มาได้คันหนึ่ง หลังขึ้นนั่งเสร็จ ก็ตั้งใจใช้ความคิดกับงานที่ยังคั่งค้างอยู่

     บังเอิญสังเกตเพลงที่เปิดในรถเป็นเพลงบรรเลงประเภทคลาสสิคที่ไพเราะ พอเพลงจบ เพลงถัดไปก็ยังเป็นเพลงแนวเดียวกัน นี่คงไม่ใช่ดนตรีที่เปิดฟังกันตามสถานีวิทยุทั่วไป แต่คงเป็นแผ่นซีดีส่วนตัวของโชเฟอร์คนนี้ สร้างความประหลาดใจให้ผู้กำกับไม่น้อย

     แท้จริงโชเฟอร์แท็กซี่จำหน้าผู้กำกับท่านนี้ได้ หลังทักทายโอภาปราศรัยกันแล้ว โชเฟอร์ถามผู้กำกับว่า "ผมขออนุญาตเล่าเรื่องจริงของผมให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ"

     ผู้กำกับคุ้นเคยกับการฟังเรื่องราวต่างๆจากผู้คนทั่วไปอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ยังดีกว่าฟังเรื่องการเมืองที่ยุ่งเหยิง ผู้กำกับตอบรับทันที

     โชเฟอร์เริ่มเล่าเรื่องของเขา ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาคบหาเพื่อนหญิงคนสนิทอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นคนบุคลิกดี เรียนเก่ง มีชีวิตชีวา ทั้งคู่ถูกจัดว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมที่สุดในรุ่น

     พอเรียนจบ เขาต้องไปเกณฑ์ทหาร ส่วนเธอก็เริ่มทำงานกับบริษัทข้ามชาติชื่อดัง ด้วยความสามารถที่โดดเด่น หญิงสาวจึงได้รับความชื่นชมจากนายจ้างและลูกค้าทั้งหลาย

     หลังปลดประจำการแล้ว ฝ่ายหญิงอยากเห็นเขาสามารถตั้งเนื้อตั้งตัวได้เร็วขึ้น จึงชวนกันเปิดบริษัทของพวกเขาเอง ด้วยความรู้ความสามารถ และช่องทางที่เธอได้ปูไว้แล้วพอประมาณ ไม่นานเกินรอ บริษัทของพวกเขาก็สามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคง

เรื่องจริงของโชเฟอร์แท็กซี่คนหนึ่งในกรุงไทเป

     เมื่อธุรกิจไปได้สวย ทั้งคู่เริ่มวางแผนถึงอนาคตของชีวิตคู่ เมื่อมีโอกาส ฝ่ายหญิงมักจะชวนเขาไปทานข้าวที่บ้านบ่อยๆ ครอบครัวเธอย้ายถิ่นฐานมาจากที่อื่น แม่ของฝ่ายหญิงจึงมักทำอาหารแปลกๆและอร่อยที่เขาไม่เคยลิ้มรสมาก่อนในกรุงไทเป

     ฝ่ายชายเหมือนสามล้อถูกหวย หลังประสบความสำเร็จด้านธุรกิจได้ระดับหนึ่ง ความประพฤติเริ่มซวนเซ

     เขามีโอกาสได้รู้จักลูกสาวของลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท เธอเป็นคนสวยมาก และเขาเองก็ไม่ใช่คนขี้เหร่ ทั้งคู่จึงมักไปมาหาสู่กัน สุดท้ายยับยั้งใจไม่อยู่ จึงมีอะไรที่เลยเถิดกัน เหตุการณ์ล่วงรู้ไปถึงพ่อของฝ่ายหญิง ลูกค้ารายนี้โกรธมาก ฝ่ายชายจึงได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการขอเธอแต่งงาน

     แน่นอนที่สุด เพื่อนหญิงที่เรียนจบมาด้วยกัน สร้างธุรกิจมาด้วยกัน ถูกทอดทิ้งอย่างเสียมิได้ หล่อนเสียใจมาก สุดท้ายก็ตัดสินใจแยกทางกันทางธุรกิจ

     วันที่ฝ่ายชายกำลังเก็บสัมภาระออกจากบริษัท แม่ของฝ่ายหญิงบุกเข้ามาที่สำนักงาน ตบหน้าฝ่ายชายไปหนึ่งฉาดใหญ่ "แม่รักแกเหมือนลูกคนหนึ่ง ใส่ใจหุงหาอาหารดีๆให้แกอย่างตั้งใจ ลูกสาวแม่ก็ทุ่มเทให้แกทุกอย่าง แต่แกกลับทิ้งลูกสาวแม่อย่างไม่ใยดี แกมันพวกไร้หัวใจ"

     ไม่นานนัก ฝ่ายชายก็เข้าสู่พิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ แล้วก็จัดตั้งบริษัทใหม่ของเขาเอง แต่ธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จนัก ผ่านไปไม่กี่ปี จำต้องปิดบริษัทลง แล้วชีวิตคู่ของทั้งสองก็จบลงไปในเวลาเดียวกัน

     ด้วยความผิดหวัง ไม่มีกำลังใจที่จะไปสมัครงานที่ไหน เลยตัดสินใจลองขับแท็กซี่ยึดเป็นอาชีพชั่วคราวไปก่อน อย่างน้อยตนก็ยังเป็นเจ้านายของตัวเอง

     เหมือนฟ้าดินลงโทษ เขามักได้พบเจอผู้โดยสารที่เคยเป็นลูกค้าบริษัทของเขา หรือเพื่อนสมัยเรียนหนังสือ เขารู้สึกอับอาย และบ่อยครั้งที่พวกเขาจะให้ทิปเขาเป็นพิเศษ โดยการไม่รับเงินทอนบ้าง เพิ่มเงินให้เป็นพิเศษบ้าง เงินไม่กี่มากน้อย แต่เขารู้สึกว่ามันเป็นการบั่นทอนศักดิ์ศรีของเขาอย่างยิ่ง เขาต้องแบกรับบุญคุณและความสงสารจากคนเหล่านั้น เขาเริ่มรับมันไม่ค่อยได้ แต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นชีวิตการงานใหม่อย่างไร เพราะเขาจมอยู่กับอาชีพนี้นานเกินไปเสียแล้ว

เรื่องจริงของโชเฟอร์แท็กซี่คนหนึ่งในกรุงไทเป

     สุดท้ายเขาย้ายฐานไปประจำที่สนามบินเถาหยวน อย่างน้อยเขามีภาษาอังกฤษที่ดีในระดับหนึ่ง จึงได้รับโอกาสจากผู้โดยสารต่างชาติเหมารถเขาพาเที่ยวไต้หวันครั้งละหลายๆวัน รายได้จึงดีกว่าโชเฟอร์แท็กซี่คนอื่นๆ

     วันนั้น รถแท็กซี่ของเขาอยู่ในคิวรับผู้โดยของสนามบิน ผู้โดยสารหญิงของเขากำลังเดินมาที่รถเขา เธอแต่งตัวอย่างมีรสนิยม เสื้อผ้าดูดี ตัดผมสั้น ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว และเมื่อเธอเดินมาใกล้ถึงรถ เขารู้ทันทีว่า เธอคืออดีตเพื่อนหญิงคนแรกของเขา

     เธอยังคงดูโดดเด่น บุคลิกสง่างามเหลือเกิน

     เขาอยากจะหลบ แต่มันไม่มีทางหนี เขาต้องค่อยๆเคลื่อนรถเข้าไปหาเธอ

     "ผู้กำกับทราบไหมว่า ผมอยากจะดึงเอาบัตรคนขับรถของผมที่ติดอยู่หลังเบาะคนขับออก ผมไม่อยากให้เธอจำผมได้เลยในสภาพที่ดูด้อยต้อยต่ำขนาดนั้น" เขาต้องรีบคว้าเอาแว่นกันแดดมาสวมใส่ เดินก้มหน้าลงไปช่วยเธอยกกระเป๋าขึ้นหลังรถ

     พอขึ้นรถเสร็จ เธอบอกจุดหมายปลายทางให้ทราบ ผ่านไปสักครู่ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้งาน เธอโทรออกไปทั้งหมดสี่ครั้ง สามครั้งแรกสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ

     โทรศัพท์ครั้งแรกเป็นการโทรหาสามี พอรับรู้ได้ว่าเป็นทนายความที่อยู่ออสเตรเลีย กำลังยุ่งกับคดีสำคัญอยู่

     โทรศัพท์ครั้งที่สองโทรหาเลขาของเธอเองในบริษัท จัดแจงสั่งงานที่ยังคั่งค้างอยู่ ดูเหมือนธุรกิจจะไปได้สวย

     โทรศัพท์ครั้งที่สามโทรไปทักทายลูกๆ กำชับลูกสาวอย่าลืมให้พี่เลี้ยงพาไปเรียนบัลเลต์เย็นนั้น และก็กำชับลูกชายให้ทำการบ้านให้เรียบร้อย

     โชเฟอร์ฟังการสนทนาของเธออย่างเงียบๆ รับรู้ถึงความเป็นอยู่ที่ดีเยี่ยมของเธอ

     พอเล่าถึงตรงนี้ รถก็มาถึงที่หมายของผู้กำกับ แต่ผู้กำกับบอกว่า "ไม่เป็นไร ช่วยเล่าต่อให้จบ"

    

เรื่องจริงของโชเฟอร์แท็กซี่คนหนึ่งในกรุงไทเป

      พอโทรศัพท์ครั้งที่สี่โทรติด เธอใช้ภาษาจีนเรียกชื่อเพื่อนคนหนึ่ง เป็นเพื่อนสมัยเรียนหนังสือที่โชเฟอร์ก็รู้จักดี จบการสนทนา ทำให้เขารู้ว่าเธอกลับมาเยี่ยมแม่ที่กำลังป่วยอยู่ กลับมาเที่ยวนี้จะอยู่สัก 3-4 วัน แล้วเธอก็ยังนัดเพื่อนคนนั้นออกมาทานข้าวด้วยกัน

     เมื่อเธอพูดโทรศัพท์จบแล้ว รถก็มาถึงที่หมายพอดี เขาดีใจที่เธอเอาแต่โทรศัพท์มาตลอดทาง คงจำเขาไม่ได้

     เมื่อจ่ายค่าโดยสารเสร็จ เธอลงจากรถ เขารีบลงไปช่วยยกกระเป๋าลงจากหลังรถ เขากลับมานั่งที่นั่งคนขับ ใจคอยังคงหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก

     เธอกำลังจะลากกระเป๋าเดินจากรถไป แต่แล้วเธอก็หยุดชะงัก เธอหันมาเคาะกระจกจากด้านนอกรถ เขาจำต้องกดกระจกไฟฟ้าลง แล้วเขาก็ต้องประจัญหน้าโดยตรงกับอดีตหญิงที่เคยรัก

     เธอพูดกับเขาด้วยความสุภาพว่า 
     "ฉันใช้โทรศัพท์โทรออกสี่ครั้ง บอกเล่าเรื่องราวต่างๆในหลายๆปีที่ผ่านมาให้รับรู้หมดแล้ว ฉันอยู่ที่ไหน สามีเป็นใคร มีลูกกี่คน แม่ฉันป่วย ฉันกลับมากี่วัน แล้วคุณไม่คิดจะกล่าวสวัสดีทักทายฉันสักคำเลยเหรอ"

     พอพูดจบ เธอก็หันหลังลากกระเป๋าเดินจากไป

     เขามองดูอดีตคนรักที่เดินห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เขาเคลื่อนรถช้าๆเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆที่อยู่ข้างๆ หยุดรถ ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร




"ขจรศักดิ์" 
แปลและเรียบเรียง
www.facebook.com/Flintlibrary

แชร์