พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ตอนที่ ๑

พระกุมารกัสสปะ โปรดพระเจ้าปายาสิ จากมิจฉาทิฏฐิ กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร http://winne.ws/n25306

2.7 พัน ผู้เข้าชม
พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร  ตอนที่ ๑

วิชาชีวิตก็คือวิชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ได้ทุกชาติ ใช้ได้จนกว่าจะเข้าสู่นิพพาน เพราะฉะนั้นความรู้นี้เป็นความรู้ที่เราจะต้องมีติดตัวไปทุกภพทุกชาติเช่นเดียวกัน หลัก ๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ท่านสอนสัมมาทิฏฐิ 10 ประการ คือความเห็นที่ถูกต้อง เป็นจริง

1 . ทานให้แล้วมีผลจริง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุทาน วิทยาทาน ธรรมทาน หรือแม้แต่อภัยทาน มีผล มีสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วมีผลกระทบต่อผู้ที่ทำทานด้วย    

2 . ยัญที่ทำแล้วมีผล ยัญในที่นี้ไม้ได้หมายถึงเครื่องรางของขลัง หมายถึงการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การกระทำอย่างนี้มีผล

3 . การเซ่นสรวงหรือการบูชามีผล อันนี้ไม่ได้หมายความว่า เป็นการบูชายัญ หรือการทำความเชื่อที่ที่งมงาย การเซ่นสรวงในที่นี้ หมายถึงการให้ความเคารพต่อพระรัตนตรัย ต่อสิ่งที่ควรบูชา อันนี้มีผล

4 . วิบากแห่งกรรมดี กรรมชั่ว มีผล ใครก็ตามที่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรมดี กรรมไม่ดี มีจริง ถือว่าเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฐิ

5 . โลกนี้มีจริง เชื่อในการกระทำในโลกนี้ว่า มีจริง

6 . โลกหน้ามีจริง เชื่อว่าเราตายไปแล้ว ชีวิตหลัวความตายมีจริง โลกหน้ามีจริง การไปเกิด มาเกิด มีอยู่จริง

7 . มารดามีคุณจริง มีบางคนไม่เชื่อ มารดามีพระคุณมีอยู่ไหม มี สัมมาทิฐิจะบอกว่า แม่มีบุญคุณกับเราจริง ถือว่าเป็นสัมมาทิฐิ

8 . บิดามีคุณจริง

9.สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นมีจริง การเกิดแบบโอปปาติกะ มีอยู่จริง ตัวอะไรบ้างเช่นวิญญาณ ภูต ผี ปีศาจ สัตว์นรก เทวดา

10 . พระอรหันต์ผู้สามารถรู้แจ้งโลกหน้า มีอยู่จริง คือคนสามารถเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ คนที่มีทิพยจักษุในการรู้แจ้ง เห็นจริงในธรรมชาติ มีอยู่จริง

ท่านใดก็ตามที่มีความเชื่อทั้ง 10 ข้อนี้มีอยู่จริง และเป็นผลจริง ๆ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ซึ่งในปัจจุบันถามว่า ทั้ง 10 ข้อ บางคนก็เชื่อไม่ครบ 10 ข้อ บางคนไม่เชื่อสักข้อก็มี หรือบางคน นอกจากไม่เชื่อแล้วยังย้อน แย้งอีกต่างหาก ไม่ได้พิสูจน์อะไร

พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร  ตอนที่ ๑

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมิจฉาทิฐิ ของบุคคลท่านหนึ่ง   ชื่อว่าพระเจ้าปายาสิ เป็นเจ้าเมืองเสตัพยนคร ไม่เชื่อว่าโลกหน้ามีจริง ไม่เชื่อว่าภพชาติมีจริง ไม่เชื่อว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริง ก็คือเป็นมิจฉาทิฐิทั้งหมดเลย แบบดิ่ง นอกจากไม่เชื่อแล้วยังมีความย้อนแย้งอีกต่างหาก แต่ผู้ที่จะมาแถลงไข ทำให้พระเจ้าปายาสิลดทิฐิมานะ แล้วมานับถือความเชื่อทางพระพุทธศาสนา      ผู้นี้มีชื่อว่า พระกุมารกัสสปะ

       พระเจ้าปายาสิ มีความเชื่อที่เป็นมิจฉาทิฐิอยู่แบบดิ่งเลย คือไม่เชื่อว่าโลกหน้ามีจริง โลกนี้มีจริง ก็เลยเข้าไปถามคำถามกับพระกุมารกัสสปะว่า เขาได้ทำการทดลอง 7 อย่างด้วยกัน เป็นการทดลองที่ค่อนข้างโหดร้าย เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย

พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร  ตอนที่ ๑

ทดลองอันที่ 1 จับนักโทษประหาร มาที่ลานประหาร สั่งนักโทษคนนั้นว่า เมื่อตายไปแล้ว มาบอกด้วยว่า นรกมีจริง จากนั้นประหารชีวิตนักโทษ การทดลองใช้ชีวิตมนุษย์เป็นหลักเลยนะ ปรากฏว่าพระเจ้าปายาสิ รอแล้วรอเล่า ก็ไม่มีใครมาบอกว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่ แล้วตกนรกไปไหน ก็เลยสรุปว่า ชีวิตหลังความตายไม่มี นรกไม่มี    

พระกุมารกัสสปะ:อธิบายว่า ดูก่อนมหาบพิตร สมมุติเราจับนักโทษคนหนึ่ง เอามาที่แดนประหารแล้ว เพชฌฆาตกำลังจะทำการฆ่า นักโทษคนนั้นขอร้องว่า ขอไปทำธุระก่อน ตัวเองมีธุระทางโลก มีลูก มีเมีย ขอกลับไปทำธุระก่อน เสร็จแล้วจะกลับมาให้ฆ่าใหม่ ถามพระเจ้าปายาสิว่า เป็นอย่างนั้น ท่านเป็นเพชฌฆาต ท่านจะปล่อยให้นักโทษไปทำอย่างนั้นไหม พระเจ้าปายาสิก็บอกว่าไม่เด็ดขาด ปล่อยไปนี่เข้าป่าแล้วหายไม่กลับมาแน่ เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่พื้นฐานรักชีวิตตัวเอง

ก็เหมือนกัน คนที่ตายไปแล้วตกนรกนี่ นายนิรยบาล ไม่อนุญาตแน่นอน  คนตายไปแล้วเช่นเดียวกัน ตกนรกไปก็ไม่มีโอกาสที่จะมา บอกเล่าเรื่องราวในนรกให้เราฟังหรอก ยกตัวอย่างขนาดนี้แล้ว พระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี หัวแข็งมาก ๆ

พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร  ตอนที่ ๑

ทดลองอันที่ 2 ทดลองกับคนดี แต่ไม่ได้ฆ่าคนดีนะ ไปดูว่าใครที่เป็นคนดีบ้าง ที่เป็นญาติพระเจ้าปายาสิ แล้วดูว่าใกล้ตายหรือยัง ก็ไปสังเกตการณ์ พอใกล้จะตายปุ๊บคนที่ทำความดีมาทั้งชีวิตนี้ พระเจ้าปายาสิก็ชี้บอกเลยว่า ตายไปแล้วถ้าขึ้นสวรรค์ให้กลับมาบอกด้วยว่า สวรรค์เป็นยังไง

หลังจากนั้นคนดีคนนี้  ทำความดีมาทั้งชีวิต ทาน ศีล ภาวนา ตายปุ๊บก็ไม่เห็นมีใครมาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตหลังความตาย หรือว่าเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ ให้พระเจ้าปายาสิฟังเลย พระองค์ก็เลยสรุปว่า ชีวิตหลังความตายไม่มี ทำความดีแล้วไม่มีผล

พระกุมารกัสสปะ ก็อธิบายว่า ดูก่อนมหาบพิตรเปรียบเสมือนว่า บุคคลที่ตกลงไปในบ่อคูถ คือบ่ออุจจาระ เมื่อปีนตะเกียกตะกายขึ้นมาด้วยความยากลำบาก แล้วอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ประพรมตัวเองให้หอมแล้ว แล้วอัญเชิญขึ้นไปอยู่บนปราสาทเสวยความสุข อยู่เยี่ยงเทวดาแล้ว ถามว่าอยู่มาวันหนึ่งจะขอร้องให้คนนั้นโดดลงไปในบ่อคูถ ให้ดูอีกรอบ เอาไหม พระเจ้าปายาสิก็ตอบว่าไม่เอา เพราะว่าพ้นจากความทุกข์มาแล้ว     

เช่นเดียวกันบุคคลที่ทำความดีมาตลอด ตายแล้วไปเสวยสุขบนสรวงสวรรค์ สถานะของเทวดาเหม็นกลิ่นเหม็นมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ไม่รักษาศีล เหม็นเหมือนคูถ เหม็นเหมือนสุนัขตายเน่าไป เทวดาจะหลีกหนี ไม่ยอมมาสุงสิงด้วยเช่นเดียวกัน เทวดาก็จะไม่มาบอกหรอกว่าสวรรค์มีจริง ก็ค่อนข้างบอกพระเจ้าปายาสิ ท่านเองก็กลิ่นตัวเหม็นของเทวดาเหมือนกัน ก็ไม่อยากจะลงมาสมาคมด้วย ยกตัวอย่างขนาดนี้ พระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ลดทิฐิมานะในตัวเอง 


ขอยคุณภาพและข้อมูลจาก

https://dhammakayahistory.blogspot.com/2018/09/blog-post_7.html?m=1

แชร์