สาธุ!! ชีวิตพลิก ด้วยธรรมะ หลังพ้นโทษประหาร
จากเจ้าของโรงแรม ใช้ชีวิตเหมือนคนไม่รู้จักความตาย เพียงไม่กี่วันกลายมาเป็นนักโทษประหาร ชีวิตในคุก 4 ปีกว่า สอนอะไรให้เค้าได้มากกว่าที่คิด http://winne.ws/n657
คุณพ่อขับรถจากพิษณุโลก 365 กม. ออกตั้งแต่เช้า ถึงเรือนจำบ่ายๆ เยี่ยมเสร็จก็ขับรถกลับ ขณะที่ท่านก็อายุมากแล้ว เป็นอะไรที่ผมสะเทือนใจมากว่า "ทำให้พ่อต้องลำบากขนาดนี้" พ่อไปเยี่ยมผมอย่างนี้อยู่ 2 ปี จนผมต้องบอกว่าไม่ต้องมาทุกวันหรอก
ความจริงแล้วปฏิบัติเพื่ออะไรกันแน่ วันนั้นมันก็ปิ๊งขึ้นมาเลยว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าน่าสนใจมาก ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตที่เป็นปกติได้ เช่น ทำยังไงเวลามีความโกรธขึ้นมาจะไม่ให้ความโกรธเข้าครอบงำ ตอนเด็กๆก็เคยเรียนนะ อริยสัจสี่ ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ท่องได้ เอาไปสอบได้ แต่มันไม่เข้าใจไง
ใครจะเชื่อว่าชายหนุ่มผู้ก่อตั้งสถานปฏิบัติธรรม ‘บ้านธรรมทาน’ ซึ่งดูสุขุมเยือกเย็น อย่าง ‘พัทธ์อิทธิ์ จินวุฒิ’ จะเป็นคนเดียวกับเพลย์บอยเลือดร้อน ใช้ชีวิตแบบเต็มเหนี่ยว เที่ยวหัวราน้ำ ทั้งกินเหล้าเจ้าชู้ ครบสูตร และเขาคือคนเดียวกับ ‘นักโทษประหาร’ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำบางขวางเมื่อหลายปีก่อน
อะไรทำให้ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง พลิกผันเปลี่ยนแปลงไปอย่าง ‘สุดขั้ว’ ได้มากมายขนาดนี้?
• จากเจ้าของโรงแรมหรู
สู่นักโทษประหาร
ก่อนที่ชีวิตจะพลิกผันนั้น พัทธ์อิทธิ์คือหนึ่งใน ‘หนุ่มหล่อ ไฟแรง’ แห่งพิษณุโลก ขณะนั้นเขาคือหนุ่มน้อยที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ ซึ่งสาวๆที่ไหนก็ต้องอยากมาเป็นแม่ศรีเรือนให้
หลังจบด้านการโรงแรมจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พัทธ์อิทธ์ก็กลับมาบริหารกิจการโรงแรมของครอบครัว แม้เขาจะเป็นผู้บริหารหนุ่มที่ไฟแรง แต่หลังจากเลิกงาน เขาก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เที่ยวหัวราน้ำ กินเหล้า เข้าผับ จีบสาว เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่ทำนั้น ไม่ได้เดือดร้อนใคร
แต่ด้วยความเป็นคนเลือดร้อน ไม่กลัวใคร ทำให้พัทธ์อิทธิ์มีศรัตรูอยู่ไม่น้อย วันหนึ่งเขากลับตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ในข้อกล่าวหาว่าจ้างวานฆ่า และถูกตีตรวนจองจำในฐานะนักโทษประหาร!!
“คือผมใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก 5-6 ปี ก็ใช้ชีวิตกินสุขอิ่มเสพ แล้วก็ไปลองพวกของมึนเมาต่างๆ ยาเสพติดบ้างเล็กๆน้อยๆ ถามว่าเกเรไหม ก็มีบ้าง ที่สำคัญผมเป็นคนเลือดร้อน ชอบใช้กำลังชกต่อยกับคนอื่น
พอกลับมาเมืองไทยไม่ถึง 9 เดือนก็โดนคดี ถูกกล่าวหาจ้างวานฆ่า ผมก็ประกันตัวออกมาสู้คดี ศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิต ช่วงนั้นประมาณปี 2545 ก็ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำตั้งแต่นั้น ผมก็อุทธรณ์สู้คดีต่อ
ช่วงเดือนแรกๆเครียดมาก รับไม่ได้ จนปวดหัวเป็นไมเกรน แต่ได้กำลังใจจากคุณพ่อและญาติพี่น้องเลยผ่านมาได้ ชีวิตในคุกก็ค่อนข้างลำบาก อาหารการกิน ห้องน้ำห้องท่าอะไรมันก็แย่หมด บางวันก็จะมีเพื่อนที่อยู่ด้วยกันถูกนำตัวไปประหาร สภาพจิตใจเราก็แย่ ยิ่งพอศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิต ถึงเราจะสามารถสู้คดีในชั้นฎีกาได้ แต่ความหวังก็เลือนลางมาก แต่สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินยกฟ้อง เพราะคำให้การของฝ่ายโจทก์ขัดแย้งกันเอง
ผมอยู่ในคุกทั้งหมด 4 ปี 1 เดือน 21 วัน แต่เชื่อไหมว่า ช่วงที่นั่งฟังคำสั่งศาล ผมรู้สึว่ามันนานกว่านั้นมาก”
• บทเรียนชีวิตจากเรือนจำ
4 ปีในคุก มันทำให้ผมเข้มแข็ง รู้จักอดทน เวลาจะทำอะไรก็จะต้องคิดให้รอบคอบ ถึงแม้จะทำผิดหรือไม่ได้ทำผิด แต่ภาพที่คนอื่นเขาเห็น มันทำให้เขาเชื่อหรือตัดสินเราจากสิ่งที่เขาเห็น แล้วผมก็ได้เห็นหลายๆคนที่ต้องติดคุกเพราะอารมณ์ชั่ววูบ มันทำให้ผมสามารถระงับอารมณ์ได้ มันก็ยังใจร้อนอยู่นะ แต่ไม่แสดงออก รู้จักแยกแยะได้ว่าอะไรที่ควรจะพูด อะไรที่ควรจะทำ ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่คิดอะไรหรอก ทำเลย ที่สำคัญทำให้ผมได้ฉุกคิดว่าท้ายที่สุดแล้วเวลาที่ลำบากจริง เวลาที่ไม่มีใคร ก็ได้ครอบครัวนี่แหละที่คอยช่วยเหลือ
คือนักโทษทุกคนที่ถูกตัดสินประหารชีวิต จะถูกนำตัวมาขังที่เรือนจำกลางบางขวาง แล้วในหนึ่งสัปดาห์จะให้เยี่ยมได้ 2 วัน คือวันอังคารและวันพฤหัสฯ ครั้งละ 45 นาที คุณพ่อก็ไปทุกวันที่เปิดให้เยี่ยม ขับรถจากพิษณุโลก 365 กม. ออกตั้งแต่เช้า ถึงเรือนจำบ่ายๆ เยี่ยมเสร็จก็ขับรถกลับ ขณะที่ท่านก็อายุมากแล้ว เป็นอะไรที่ผมสะเทือนใจมากว่า ทำให้พ่อต้องลำบากขนาดนี้ พ่อไปเยี่ยมผมอย่างนี้อยู่ 2 ปี จนผมต้องบอกว่าไม่ต้องมาทุกวันหรอก เดือนละครั้ง หรือสองอาทิตย์ครั้งก็พอ
ตอนก่อนเกิดเรื่อง ผมไม่เคยคิดถึงคนในครอบครัวเลย คิดว่าคุณพ่อคุณแม่คงอยู่กับเราไปอีกนาน เราก็จะเที่ยว กินเหล้า ตกเย็นมาก็ตั้งวง จะไปเที่ยวเธคที่ไหนดี แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ดูแลท่านให้ดีที่สุด” พัทธ์อิทธิ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
• 7 วันที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
หลังจากพ้นโทษออกมา เขาจึงใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังขึ้น แม้จะยังคงเที่ยวเตร่ กินเหล้า สูบบุหรี่ อยู่บ้าง แต่ก็ลดนิสัยมุทะลุเลือดร้อนลงไปได้มาก ที่สำคัญช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในเรือนจำนั้น ทำให้เขาได้เห็นถึงคุณค่าของความรักจากคนในครอบครัว ซึ่งเขาบอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมสูญเสียมันไปอย่างเด็ดขาด
นอกจากความคิดที่เปลี่ยนไป หลังได้รับอิสรภาพแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้พัทธ์อิทธิ์ได้ค้นพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต ชนิดที่เรียกว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ นั่นก็คือ ‘ธรรมะ’ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มจากวันที่พี่ชายของเขา นิมนต์พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ พระวิปัสสนาจารย์ จากยุวพุทธิกสมาคมฯมาที่บ้าน เขาจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับพระอาจารย์ ทำให้ความเข้าใจที่มีต่อพุทธศาสนานั้นเปลี่ยนไป และทุกอย่างก็ยิ่งกระจ่างชัดมากขึ้นเมื่อเขาได้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ซึ่งช่วงเวลา 7 วันในการปฏิบัติธรรมนี่เองที่ทำให้ความคิดและชีวิตของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเป็นคนละคน !!
จริงๆตอนอยู่ในคุก ก็มีผู้คุมมานำสวดมนต์นะ แต่ผมไม่ทำตาม เพราะไม่รู้ว่าจะสวดไปทำไม ตอนนั้นไม่ได้สนใจธรรมะเลย หนังสือธรรมะก็อ่านบ้าง
แต่จะสนใจประวัติหลวงปู่หลวงพ่อที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ ก็ดูว่าท่านไปธุดงค์ ท่านทำกรรรมฐาน แต่ไม่ได้เรียนรู้ว่าการทำกรรมฐานของผมเริ่มสนใจธรรมะจริงๆหลังออกจากคุกได้ประมาณ 3 เดือน พอดีพี่ชายนิมนต์พระอาจารย์นวลจันทร์ฯ มาที่บ้าน
ท่านก็พูดคุยกับเรา คำพูดของท่านนั้นโดนใจมากๆ ท่านบอกว่าการปฏิบัติธรรมนั้นทำได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องแต่งชุดขาว ไปเดินจงกรมในวัด ก็ปฏิบัติธรรมได้
คือก่อนหน้านี้ผมจะรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมคือการเดินช้าๆ พูดช้าๆ นั่งสมาธินิ่งๆ ใส่ชุดขาว แต่พอพระอาจารย์มาสอน ทำให้เข้าใจว่าศาสนาพุทธสอนเรื่องอะไร
ความจริงแล้วปฏิบัติเพื่ออะไรกันแน่ วันนั้นมันก็ปิ๊งขึ้นมาเลยว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าน่าสนใจมาก ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตที่เป็นปกติได้ เช่น ทำยังไงเวลามีความโกรธขึ้นมาจะไม่ให้ความโกรธเข้าครอบงำ ตอนเด็กๆก็เคยเรียนนะ อริยสัจสี่ ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ท่องได้ เอาไปสอบได้ แต่มันไม่เข้าใจไง
แต่จุดปลี่ยนจริงๆคือตอนที่ได้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรม คือก่อนผมจะแต่งงาน พระอาจารย์ก็โทร.มาบอกว่าให้มาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธฯ ก่อน ซึ่งช่วงเวลา 7 วันที่เข้าคอร์ส มันเปลี่ยนชีวิตเราไปเลย เพราะได้มีโอกาสศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้ง ทำให้รู้ว่ารักษาศีลปฏิบัติธรรมแล้วมันดียังไง
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่อยู่ที่รูปแบบ ไม่ได้อยู่แค่การสวดมนต์ ตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา ไม่ใช่อยู่ที่การขอพรจากพระเกจิ
ความจริงแล้วมันอยู่ที่ตัวเรา มันอยู่ข้างในจิตใจต่างหาก การปฏิบัติธรรมก็คือการฝึกใจ ขณะที่การสวดมนต์นั้นคือการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ซึ่งทำให้เรามีสติและสมาธิ
พอกลับจากปฏิบัติธรรมผมก็เลิกหมดทั้ง บุหรี่ เหล้า เรื่องเที่ยวก็หยุดไปเลย เลิกงานกลับบ้าน ทำวัตรเย็น สวดมนต์ แล้วก็นั่งภาวนา
ซึ่งเป็นอะไรที่คนในบ้านไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แม่ก็บอกว่าเหมือนกับได้ลูกชายคนใหม่มา (หัวเราะ) แล้วผมก็ปฏิบัติแบบนี้ทุกวัน เป็นเวลา 4 ปีแล้ว” พัทธ์อิทธิ์เล่าถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาหันมาสนใจพุทธศาสนาและเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจัง
ขอขอบคุณบทความจาก (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 137 พฤษภาคม 2555 โดย กฤตสอร)