อย่าฉลาด....อย่าง งมงาย!!!

เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 1 แต่ไม่หายหิว เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 2 แต่ไม่หายหิว เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 10 ก็ยังไม่หายหิว เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 100 ไม่มีวันหายหิว และยังคงกระหายอยู่ร่ำไป เพราะเธอดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่า มันจะหายหิวได้อย่างไร..? http://winne.ws/n6916

2.4 พัน ผู้เข้าชม

แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์

อย่าฉลาด....อย่าง งมงาย!!!

เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 1 แต่ไม่หายหิว

เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 2 แต่ไม่หายหิว

เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 10 ก็ยังไม่หายหิว

เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 100 ไม่มีวันหายหิว

และยังคงกระหายอยู่ร่ำไป

เพราะเธอดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่า มันจะหายหิวได้อย่างไร..?

อย่าฉลาด....อย่าง งมงาย!!!
อย่าฉลาด....อย่าง งมงาย!!!

เรื่องราวในวันนี้ก็เช่นกัน เราอยากให้คุณทําใจสบายๆ วางไจเบาๆ ค่อยๆ อ่านความคิดของเธอคนหนึ่ง เพราะความคิดของเธอดี น่าสนใจเพียงพอที่จะทําให้ไม่หลงไปดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่าลําดับที่ 101 และแก้วต่อๆ ไปจนชั่วชีวิต อย่างไม่รู้จักคําว่าอิ่มเลยก็ได้

พจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ คุณหมอคนเก่ง เธอเป็นแพทย์หญิง มีฐานะ มีอาชีพที่มีเกียรติน่ายกย่อง มีอนาคตที่สดใสมาตลอด ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ มีผลการเรียนดี จนกระทั่งสามารถสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ พอเรียนจบก็ได้เรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช เธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพี่น้องที่ไม่ทะเลาะกัน พ่อแม่ไม่เจ้าชู้ มีความเข้าใจกัน เธอช่างมีทุกอย่างเพียบพร้อม แถมมีเพื่อนมากมายที่เธอรักและรักเธอ

“...ความรู้สึกพร้อมที่เรามี ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก มันทําให้หมอเองใช้คุณค่าของชีวิตฟุ่มเฟือยมากไป คือ เที่ยวทุกคืน ดื่มพอมึนๆ แต่อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน ตอนนั้นมันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน บ่อยครั้งดื่มถึงเช้าค่อยแยกย้ายกันกลับ มันแปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ แต่หมอไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่าการทําแบบนี้เก๋งมาก รู้สึกภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมของกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน...”

ก่อนหน้านั้นเธอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจําเป็นว่าจะเข้ามาช่วยให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้นได้อย่างไร เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทําบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณีก็น่าจะเพียงพอ จนกระทั่งเรียนจบหมอ ได้มาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช ยิ่งทําให้เธอเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นไปอีก

“...คือตัวเองไม่ค่อยเชื่อว่า คนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วย เห็นเด็กคลอดมากี่คนๆ ก็ไม่เห็นใครจะสามารถเดินได้ 7 ก้าว แบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลย ยังนั่งคุยกับเพื่อนๆ เลยว่า สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่งมาก คิดจะจัดระเบียบทางสังคมขึ้นมา จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้น แล้วใส่ปาฏิหาริย์เพื่อเพิ่มความศรัทธา และน่าเชื่อถือลงไป อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ หรือจับต้องไม่ได้ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า เราจะไม่เชื่อ”

เป็นความคิดที่หลายคนบนโลกใบนี้เชื่อและคิดอย่างเธอ แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร..??

สิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตคนเราก็คือ เราไม่รู้ว่าความเจ็บป่วยจะมาเยือนเมื่อไหร่ ในที่สุดวันร้ายคืนร้ายก็มาถึง เธอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งเจ็บปวดทรมานมากถึงขั้นเดินไม่ได้ เธอต้องเขารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลังเพื่อบรรเทาอาการปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่งๆ ที่เชี่ยวชาญมากทั่วทั้งโรงพยาบาล มารุมวินิจฉัน ดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเธอได้

“รักษามาทุกวิธีแล้ว จนรู้สึกท้อแท้หมดหวัง เหมือนหมดหวังทุกอย่างในชีวิต กินยาก็แพ้กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลฯ เหลือ 42 กิโลฯ ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันกลับมาตั้งสติหยุดคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหรือนี่..!! ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้ อาจารย์หมอทุกคน เพื่อน หมอด้วยกันมารักษาดูอาการเราหมด เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง น่าจะรักษาหาย ก็กลับไม่หาย แล้วทําไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเรา ทําไมต้องเป็นเรา...”

วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ วิชาหมอที่เธอเรียนมาเกือบ 10 ปี แม้แต่สาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเธอก็หาไม่พบ ซ้ำบอกกับเธอได้เพียงว่า ให้เธอทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง

น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคุณคิดว่าคืออะไรกันแน่ !!!

“ความรู้สึกเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ตอนนั้นลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้ โชคดีที่ช่วงนั้นคุณน้ามาแนะนําให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้าช่วย ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ ไม่มีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ ลองหัดทําสมาธิปฏิบัติธรรม ทําบุญทุกบุญไม่ขาด โดยเฉพาะทุกวันนี้ จะขยันฟังธรรมะทุกวัน ทําให้เรากระจ่างชัด เข้าใจเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตได้มากขึ้น ทําให้เรารู้ว่า เบื้องหลังอาการป่วยของเรามัน(คือวิบากกรรมที่เราเคยทําเอาไว้ในอดีตนั่นเอง”

“...ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม มาชดใช้วิบากที่เคยทําไว้ ฟังแล้วรู้สึกว่า การเกิดมามัน ไม่น่าเกิดมาเลยนะ เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ฟังแล้วรู้สึกว่าห่อเที่ยว ทําไมเราไม่มีโอกาส หรือหนทางใดในการแก้ไขเลยหรือ ? แต่พอมาฟังคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านทรงเน้นย้ำว่า เราเกิดมาเพื่อทําพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญสร้าง บารมี พอรู้เป้าหมายชีวิตอย่างนี้ มันรู้สึกชุ่มชื่นใจ ที่เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสแก้ไขปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้”

ด้วยคําถามนี้เองทําให้เธอประทับใจในคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะท่านทรงสอนถึงวิธีแก้ไขวิบาก กรรมจากหนักจะเป็นเบา จากเบาก็จะหาย ถ้าตายก็ไปดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เธอยืนยันว่า วิทยาศาสตร์ และวิชาหมอไม่สอนไว้เลย ซึ่งเธอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัดด้วยตัวเอง เพราะอาการของเธอหมดหนทางจะเยียวยาแล้ว แม้กินยายังไม่ได้ เพราะแพ้ยา จึงรักษาด้วยการทําบุญ การรักษาศีล ทําสมาธิ และอธิษฐานจิต ในที่สุดเธอพบว่าอาการป่วยดีขึ้นตามลําดับ จนกระทั่งสามารถมาทํางานเป็นคุณหมอได้ดังเดิม

อย่าฉลาด....อย่าง งมงาย!!!

จากเมื่อก่อนหมอไม่เคยคิดว่าพุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ขนาดนี้ ก่อนนั้นคิดเสมอว่า เป็นสิ่งที่เหลือเชื่องมงาย แต่พอได้มาฟังมาศึกษากลับพบว่า วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ยังล้าหลังอยู่มาก อย่างเราเอง เรียนหมอ วิชาแพทย์ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนกระทั่งตาย แต่ก่อนเกิดและหลังความตาย วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ 

การเจ็บป่วยทางการแพทย์ เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐานและพยาธิสภาพรวมๆ ว่า มาจากหลายสาเหตุ แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์จากกรณีศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรม ทําให้พบว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากการทําสมาธิ สามารถตอบได้หมดถึงสาเหตุต้นตอของโรคว่า เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองอัศจรรย์ใจมาก”

ทุกวันนี้เธอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระสัมมาสัมพทธเจ้า เชื่อว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริงๆ

“จากการได้ศึกษาพุทธประวัติการสร้างบารมีของพระพุทธองค์ในแต่ละชาติ ว่ากว่าพระองค์จะวิเศษขนาดนี้ เพราะพระองค์ทรงสร้างบารมีมาอย่างยาวนานมากถึง 20 อสงไขย กับแสนมหากัป จนกระทั่งในชาติสุดท้าย ได้ลักษณะของกายมหาบุรุษครบถ้วน 32 ประการ จึงมีสภาพร่างกายพิเศษ ทําในสิ่งที่เหนือมนุษย์สามัญทั่วไปจะทําได้ ส่วนเด็กปัจจุบันที่คลอดออกมายังไม่เคยพบลักษณะพิเศษที่ได้กายมหาบุรุษเลย จึงทําไม่ได้ 

และมากไปกว่านั้น byสามารถระลึกชาติสอนสัตว์โลก สามารถอธิบายการเกิดได้ ตั้งแต่ก่อนมาเกิด ปฏิสนธิ สภาพขณะอยู่ในครรภ์ จนคลอดได้อย่างละเอียดชัดเจน เอามากๆ ทั้งๆ ที่สมัย 2,500 กว่าปี ที่ผ่านมา ยังไม่มีเทคโนโลยีไฮเทคใดๆ บอกให้เห็นภาพได้ถึงขนาดนั้น แต่พระองค์สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากการทําสมาธิ ซึ่งมีบันทึกเป็นหลักฐานไว้ในพระไตรปิฎกมายาวนานกว่า 2,500 ปี แล้ว”

อย่าฉลาด....อย่าง งมงาย!!!

 

พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอมองย้อนไปก็รู้สึกตลกตัวเองไม่ ว่าทําไม เราหลงคิดผิดๆ ด้วยมานะทิฏฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน พอมาศึกษาจริงจึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ต่อให้วิชาอื่นทางโลกที่ว่าเจ๋งๆ ไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร แต่หากพุทธศาสตร์เราไม่เรียนรู้ ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้ 

เพราะวิชานี้สอนให้เราเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนเรามีชีวิตอยู่ขณะนี้เราต้องดําเนินไปอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังตายแล้วเราเลือกได้ว่าจะไปไหนจากการกระทําในปัจจุบัน แล้วยังสอนวิธีการลิขิตชีวิตตัวเองได้ข้ามชาติ ว่าเราต้องการให้ชีวิตในชาติหน้าเป็นอย่างไร และมีวิธีการแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดที่หลงไปทําบาปมาแล้วได้อย่างไร ตลอดจนวิธีการกําจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป ไม่ต้องเกิดอีกจะต้องทําอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราเรียนรู้ได้จากการศึกษาธรรมะ ค่อยๆ ศึกษาสิ่งเหล่านี้ไป แล้วเราก็จะเข้าใจชีวิตเพิ่มมากขึ้น และมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแตกต่างอย่างที่ตัวหมอเองได้ประสบมา

...หมอว่าจำเป็นนะ ในเมื่อเราไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่ชาตินี้ชาติเดียว แต่เรายังต้องเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน หากเรายังไม่ หมดกิเลส แล้วในเมื่อเรายังต้องเกิดอีกหลายชาติ ทําไมเราไม่เลือกที่จะเตรียมความพร้อมไว้ชาติหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องลําบาก ไม่ต้องรันทดใจเหมือนชาตินี้อีก ถ้าชาติหน้าเกิดมาดี จะได้ไม่ต้องกังวลใจ ลุยสร้างความดี สร้างบุญ สร้างบารมีอย่างเดียว และเมื่อบารมีเราเต็มเปี่ยมเมื่อไร เราก็ไม่ต้องเกิดอีกแล้วไม่ต้องมาทุกข์กันอีก...”

“หลังจากที่หมอศึกษาธรรมะ ก็ทําให้คุณพ่อคุณแม่ และคนในบ้านของเธอได้รู้เรื่องธรรมะไปด้วย ทําให้ที่บ้านเลิกขายบุหรี่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าใหญ่เจ้าหนึ่งในอําเภอ เพราะได้เรียนรู้ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งไม่ดี มอมเมาเยาวชน เหมือนเผาเงินไปเล่นๆ และด้วยกรรมที่ขายของพวกนี้ ตายแล้วต้องไปใช้กรรมในมหานรกขุมต่างๆ แถมเกิดชาติหน้า ด้วยกรรมที่ส่งเสริมให้คนติดบุหรี่ก็จะเจอแต่สภาพแวดล้อมที่มีพี่น้องที่เป็นขี้ยา ครอบครัวไม่มีความสุข ลูกหลานผลาญทรัพย์ไปใช้ในทางอบายมุข

ปัจจุบัน คุณพ่อคุณแม่พี่น้องที่บ้านต่างสนใจปฏิบัติธรรมมากขึ้น จากเมื่อก่อนไม่เข้าใจ และไม่สนใจธรรมะเท่าที่ควร แต่พอได้ฟังธรรมะทุกวัน ธรรมะก็ค่อยๆ ซึมซับขัดเกลาจิตใจ และเป็นที่พึ่งทางใจให้กับตัวเองได้”

อย่าฉลาด....อย่าง งมงาย!!!

“แปลกมาก เมื่อก่อนเราชวนเขาทําบุญที่วัด นี่ยากมาก เดี่ยวนี้เขาชวนกันเอง อย่างพี่น้องฝ่ายแม่ พอที่วัดมีงานบุญ ก็ชวนกันมาครบทั้ง 11 คน ไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกว่า ตั้งแต่ตัวเองเป็นคนเริ่มต้นศึกษาธรรมะ ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมากทั้งกับตัวเองและครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด แล้วอย่างนี้จะว่าธรรมะเป็นสิ่งงมงายและเป็นส่วนเกินของชีวิตที่คิดว่ามีพร้อมในทุกสิ่งได้อย่างไร...”

“ในฐานะที่มีอาชีพหมอ ก็คิดว่า การเผยแพร่ธรรมะให้กว้างไปถึงทุกบ้านจะมีประโยชน์มากๆ ต่อสังคม เพราะเดี๋ยวนี้สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า เด็กที่มาฝากท้องกับหมอ อัตราของเด็กวัยรุ่น 16-17 ปี กําลังเป็นวัยเรียนเพิ่มสูงกว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอร้องให้หมอทําแท้งให้ ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาว่ามันเป็นบาปอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะสังเกตเห็นว่า ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นสูงมาก เพราะสังคมปัจจุบันพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี และอินเตอร์เน็ต จนเด็กซึมซับพฤติกรรมจากทีวีและโลกโซเชียล ซึ่งเราอยากจะให้ลูกเราเป็นอย่างนั้นหรือ ???

หมอคิดว่า หากมีทีวีสักช่องหนึ่งที่จะเสนอแต่รายการที่ดีๆ สอนสิ่งที่ถูกที่ควร และแนะนําสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูกเรา สังคมไทยจะไม่ลองเลือกเชียวหรือ จากเดิมหมอเองก็ไม่เห็นความสําคัญจากธรรมะมาก่อน แต่พอตอนหลังเราให้โอกาสกับตัวเองอะไรที่ดีๆ ก็เกิดขึ้น

หมอได้คิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด..ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งเหล่านั้นไว้ ซึ่งจะทําให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสําหรับชีวิตนี้ ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์

การเปิดโอกาสให้ตนเองได้ศึกษาธรรมะ ก็เป็นทางเลือกใหม่ ในการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษาวิชาที่สําคัญและจําเป็นที่สุดในชีวิตเพื่อคนที่เรารัก และตัวเราเอง”

เรื่องราวของคุณหมอที่เล่าเรื่องราวชีวิตของเธอให้ฟังนี้ คล้ายกับการดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่ามานาน จนในที่สุดได้พบน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญและจําเป็นมาก สําหรับการยังอัตภาพให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ แต่เพราะความชาชินกับความพร้อมที่หลายคนคิดว่าตัวเองมีทุกอย่างแล้ว เลยทําให้ชิน จนลืมนึกไปว่า แก้วที่ตัวเองดื่มนั้น ไม่มีน้ำ..อยู่ในแก้วเลย

ถ้าเราดื่มน้ำจากแก้วที่ไม่มีน้ำ แล้วเราจะหยุดกระหายได้อย่างไร !!!

ขอบคุณภาพและเรื่องราวดี ๆจากสำนักสื่อธรรมะและขอบคุณภาพจากwww.google.co.th/

Dhamma -media.blogspot.com

อย่าฉลาด....อย่าง งมงาย!!!
แชร์