อานิสงส์ และอำนาจของการสวดมนต์ (เรื่องเล่าจาก สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี)

ท่านเห็นอำนาจแห่งการสวดมนต์ เมื่อครั้งได้ออกเดินธุดงค์ในป่า http://winne.ws/n7033

5.7 พัน ผู้เข้าชม
อานิสงส์ และอำนาจของการสวดมนต์ (เรื่องเล่าจาก สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี)

"คุณไสยแพ้ สามประโยคสั้นๆ"

สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี

วัดระฆังโฆสิตาราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนตร์ด้วยตัวอาตมาเอง

ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี

โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ

ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร

ในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูตผีวิญญาณ ตลอดจนชาวบ้าน

ที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น

อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง

ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนตร์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใดก็จะกล่าวเพียงคำนี้

ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม

ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย

อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน

มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้

เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น

อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี

และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว

ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผล

ได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาอาคมเล่าเรียน

จนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทมนตร์คาถาอาคม

แก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ

เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าเขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย

เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถ

ที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่

นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตมาถึง 7 วัน เต็มๆ

ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ

ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา

แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย

วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา

อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทมนตร์คาถา

หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก

ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา

จึงกลับมายังเขา ซึ่งเป็นผู้กระทำ

ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า

อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้นายผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมา

จึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนตร์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้ อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า

เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลยอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์

ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้

ก่อนที่ท่านจะจำวัดจงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่

ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่าการสวดมนตร์ของท่านเช่นนี้

จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่านหรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนตร์คาถา

ในภูตผีปิศาจ ของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าขอรับรองว่า

จะไม่ทำอันตรายแก่ท่านอาจารย์อย่างเด็ดขาด

เพียงแต่ต้องการที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์

นายผลจึงได้ลากลับไป

ครั้นถึงเวลาพลบค่ำอาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนตร์

ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป

อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง

กุกกัก กุกกัก ดังขึ้นมา จึงได้จุดเที่ยนและพบตะขาบใหญ่

ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัว

ของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี

และด้วยสัญชาติญาณจึ่งกล่าวคำสวดมนต์

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้

เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป

จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ

ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า  เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้า

ได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักพำนักอยู่

อาตมาบอกว่าอาตมาได้ตื่นมาและตกใจ

จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้น ก็อันตรธานหายไป

นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า

บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนตร์คาถา และคุณไสยใดๆ

ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้

ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนตร์ภาวนาของท่าน

เป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้

ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน

เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนตร์ว่า

เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนตร์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้

เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้

ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย

ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน

ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้ว

ต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า อานิสงส์ของการสวดมนตร์มีคุณค่าสูงส่งยิ่งนัก

“ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”

เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี

จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโต

มาเทศน์ที่บ้านครั้นพลบค่ำ

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆัง

มายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี

ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก

ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ

ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา

เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์

“ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า

การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง

ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย

เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี

ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร

พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร

และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร

การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณา

จนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ

ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล

จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า 

โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ

• เมื่อฟังธรรม

• เมื่อแสดงธรรม

• เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์

• เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น

• เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ

การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา

ตั้งแต่สมัยพุทธกาล

พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย

ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา

นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม

ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม

การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไป

เพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน

การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ

• กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม

• ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย

• วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาด

หากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็น

การสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียวอาตมาภาพ

ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า

ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว

บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน

การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร

ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น

*ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอก

ไม่ให้เข้ามารบกวนจิต

ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ

ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด

*ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย

ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย

ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง

เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก

ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย

เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น

ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้

ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์

ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย

ได้อย่างดีเยี่ยม

ดูก่อน.. ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้

การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

เมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี

และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดี

จะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล.


ที่มา plus.google.com

แชร์