หัวหน้าเทวดาคุยกับหลวงปู่มั่นว่า!!รู้สึกอย่างไรกับมนุษย์!!

ครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเทวดามาเยี่ยมหลวงปู่มั่นเพื่อฟังเทศน์ หัวหน้าเทวดาองค์หนึ่งพูดกับท่านว่าท่าน มาพักอยู่ที่นี่ทำให้พวกเทวดาสบายใจไปทั่วกัน เพราะกระแสเมตตาธรรมท่านแผ่กระจายครอบท้องฟ้าอากาศ http://winne.ws/n7114

1.6 พัน ผู้เข้าชม
หัวหน้าเทวดาคุยกับหลวงปู่มั่นว่า!!รู้สึกอย่างไรกับมนุษย์!!ขอขอบคุณภาพจากsanghanussati.blogspot.com

ครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเทวดามาเยี่ยมหลวงปู่มั่นเพื่อฟังเทศน์ หัวหน้าเทวดาองค์หนึ่งพูดกับท่านว่า

“ท่าน มาพักอยู่ที่นี่ทำให้พวกเทวดาสบายใจไปทั่วกัน  เทวดามีความสุขมากผิดปกติเพราะกระแสเมตตาธรรมท่านแผ่กระจายครอบท้องฟ้าอากาศ และแผ่นดินไปหมด  กระแสเมตตาธรรมของท่านเป็นกระแสที่บอกไม่ถูกและอัศจรรย์มาก  ไม่มีอะไรเหมือนเลย”

หัวหน้าเทวดาพูดต่อไปว่า

“ฉะนั้น ท่านพักอยู่ที่ไหน พวกเทวดาต้องทราบกันจากกระแสธรรมที่แผ่ออกจากองค์ท่านไปทุกทิศทุกทาง  แม้เวลาท่านแสดงธรรมแก่พระเณรและประชาชน กระแสเสียงของท่านก็สะเทือนไปหมดทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ไม่มีขอบเขต  ใครอยู่ที่ไหนก็ได้เห็นได้ยิน  นอกจากคนตายแล้วเท่านั้นที่จะไม่ได้ยิน”

ตอน นี้…จะได้เชิญอาราธนาคำพูดสนทนากันระหว่างหลวงปู่มั่นกับหัวหน้าเทวดามาลง อีกเล็กน้อย  ส่วนจะจริงหรือเท็จก็เขียนตามที่ได้ยินได้ฟังมา

หลวงปู่มั่นย้อนถามหัวหน้าเทวดาบ้างว่า

“ก็มนุษย์ไม่เห็นได้ยินกันบ้าง…ถ้าว่าเสียงเทศน์สะเทือนไปไกลดังที่ว่านั้น”

หัวหน้าเทวดารีบตอบทันทีว่า

“ก็ มนุษย์เขาจะรู้เรื่องอะไรและสนใจกับศีลกับธรรมอะไรกันท่าน!  ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจของเขา เขาเอาไปใช้ในทางบาปทางกรรมและขนนรกมาทับถมตัวตลอดเวลา  นับแต่วันที่เขาเกิดมาจนกระทั่งเขาตายไป เขามิได้สนใจกับศีลกับธรรมอะไรเท่าที่ควรแก่ภูมิของตนหรอกท่าน  มีน้อยเต็มที…ผู้ที่สนใจจะนำตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ไปทำประโยชน์คือศีลธรรม  ชีวิตเขาก็น้อยนิดเดียว  ถ้าเทียบกันแล้ว มนุษย์ตายคนละกี่สิบกี่ร้อยครั้ง เทวดาที่อยู่ภาคพื้นแม้เพียงรายหนึ่งก็ยังไม่ตายกันเลย  ไม่ต้องพูดถึงเทวดาบนสวรรค์ชั้นพรหมซึ่งมีอายุยืนนานกันเลย

มนุษย์ จำนวนมากมีความประมาทมาก  ที่มีความไม่ประมาทมีน้อยเต็มที  มนุษย์เองเป็นผู้รักษาศาสนา แต่แล้วมนุษย์เสียเองไม่รู้จักศาสนา ไม่รู้จักศีลธรรม ซึ่งเป็นของดีเยี่ยม  มนุษย์คนใดชั่วก็ยิ่งรู้จักแต่จะทำชั่วถ่ายเดียว  เขายังแต่ลมหายใจเท่านั้นพอเป็นมนุษย์อยู่กับโลกเขา  พอลมหายใจขาดไปเท่านั้น เขาก็จมไปกับความชั่วของเขาทันทีแล้ว

เทวดาก็ได้ยิน… ทำไมจะไม่ได้ยิน… ปิดไม่อยู่!

เวลา มนุษย์ตายแล้วนิมนต์พระท่านมาสาธยายธรรม ‘กุสลา ธัมมา’ ให้คนตายฟัง  เขาจะเอาอะไรมาฟังสำหรับคนชั่วขนาดนั้น  พอแต่ตายลงไปกรรมชั่วก็มัดดวงวิญญาณเขาไปแล้ว เริ่มแต่ขณะสิ้นลมหายใจ จะมีโอกาสมาฟังเทศน์ฟังธรรมได้อย่างไร  แม้ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่สนใจอยากฟังเทศน์ฟังธรรม  นอกจากคนที่ยังเป็นอยู่เท่านั้น…พอฟังได้ถ้าสนใจอยากฟัง  แต่เขามิได้สนใจฟังหรอกท่าน

ท่าน ไม่สังเกตดูเขาบ้างหรือ…เวลาพระท่านสาธยายธรรม ‘กุสลา ธัมมา’ ให้ฟัง เขาสนใจฟังเมื่อไร!  ศาสนามิได้ถึงใจมนุษย์เท่าที่ควรหรอกท่าน เพราะเขาไม่สนใจกับศาสนา  สิ่งที่เขารักชอบที่สุดนั้นมันเป็นสิ่งที่ต่ำทรามที่สัตว์เดรัจฉานบางตัวก็ ยังไม่อยากชอบ

นั่น แลเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่ไม่ชอบศาสนา ชอบมากกว่าสิ่งอื่นใด และชอบแต่ไหนแต่ไรมา  ทั้งชอบแบบไม่มีวันเบื่อ ไม่รู้จักเบื่อเอาเลย  ขณะจะขาดใจยังชอบอยู่เลยท่าน

พวก เทวดารู้เรื่องของมนุษย์ได้ดีกว่ามนุษย์จะมาสนใจรู้เรื่องของพวกเทวดาเป็น ไหนๆ … มีท่านนี่แลเป็นพระวิเศษ รู้ทั้งเรื่องมนุษย์ ทั้งเรื่องเทวดา ทั้งเรื่องสัตว์นรก  สัตว์กี่ประเภท ท่านรู้ได้ดีกว่าเป็นไหนๆ  ฉะนั้น พวกเทวดาทั้งหลายจึงยอมตนลงกราบไหว้ท่าน”

พอหัวหน้าเทวดาพูดจบลง หลวงปู่มั่นก็พูดเป็นเชิงปรึกษาว่า

“เทวดา เป็นผู้มีตาทิพย์ หูทิพย์ แลเห็นได้ไกล ฟังเสียงได้ไกล รู้เรื่องดีชั่วของชาวมนุษย์ได้ดีกว่ามนุษย์จะรู้เรื่องของตัวและรู้เรื่อง ของพวกมนุษย์ด้วยกัน จะไม่พอมีทางเตือนมนุษย์ให้รู้สึกสำนึกในความผิดถูกที่ตนทำได้บ้างหรือ?  อาตมาเข้าใจว่าจะได้ผลดีกว่ามนุษย์ด้วยกันตักเตือนกัน สั่งสอนกัน … จะพอมีทางได้บ้างไหม?”

หัวหน้าเทวดาตอบว่า

“เทวดา ยังไม่เคยเห็นมนุษย์ว่ามีกี่รายพอจะมีใจเป็นมนุษย์สมภูมิเหมือนอย่างพระคุณ เจ้าซึ่งให้ความเมตตาแก่ชาวเทพและชาวมนุษย์ตลอดมาเลย พอที่เขาจะรับทราบว่าในโลกนี้มีสัตว์ชนิดต่างๆ หลายต่อหลายจำพวกอยู่ด้วยกัน ทั้งที่เป็นภพหยาบ ทั้งที่เป็นภพละเอียด ซึ่งมนุษย์จะยอมรับว่า เทวดาประเภทต่างๆ มีอยู่ในโลก และสัตว์อะไรๆ ที่มีอยู่ในโลกกี่หมื่นกี่แสนประเภท ว่ามีจริงตามที่สัตว์เหล่านั้นมีอยู่  เพราะนับแต่เกิดมา มนุษย์ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาแต่พ่อแต่แม่ แต่ปู่ย่าตายาย แล้วมนุษย์จะมาสนใจอะไรกับเทวดาเล่าท่าน  นอกจากเห็นอะไรผิดสังเกตบ้าง  จริงหรือไม่จริงไม่คำนึง

พวก มนุษย์มีแต่พากันกล่าวตู่ว่าผีกันเท่านั้น  จะมาหวังคำตักเตือนดีชอบอะไรจากเทวดา  แม้เทวดาจะรู้เห็นพวกมนุษย์อยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์ก็มิได้สนใจจะรู้เทวดาเลย  แล้วจะให้เทวดาตักเตือนสั่งสอนมนุษย์ด้วยวิธีใด… เป็นเรื่องจนใจทีเดียว  ปล่อยตามกรรมของใครของเราไว้อย่างนั้นเอง  แม้แต่พวกเทวดาเองก็ยังมีกรรมเสวยอยู่ทุกขณะ  ถ้าปราศจากกรรมแล้ว เทวดาก็ไปนิพพานได้เท่านั้นเอง … จะพากันอยู่ให้ลำบากไปนานอะไรกัน”

หลวงปู่มั่นถามว่า

“พวกเทวดาก็รู้นิพพานกันด้วยหรือ?…ถึงว่าหมดกรรมแล้วก็ไปนิพพานกันได้  และพวกเทวดาก็มีความทุกข์เช่นสัตว์ทั้งหลายเหมือนกันหรือ?”

หัวหน้าเทวดาตอบว่า

“ทำไม จะไม่รู้ท่าน!  ก็เพราะพระพุทธเจ้าองค์ใดมาสั่งสอนโลกก็ล้วนแต่สอนให้พ้นทุกข์ไปนิพพานกัน ทั้งนั้น  มิได้สอนให้จมอยู่ในกองทุกข์  แต่สัตว์โลกไม่สนใจพระนิพพานเท่าเครื่องเล่นที่เขาชอบเลย จึงไม่มีใครคิดอยากไปนิพพานกัน

คำ ว่า ‘นิพพาน’ พวกเทวดาจำได้อย่างติดใจจากพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่มาสั่งสอนสัตว์โลก  แต่เทวดาก็มีกรรมหนาจึงยังไม่พ้นจากภพของเทวดาให้ได้ไปนิพพานกัน จะได้หมดปัญหา ไม่ต้องวกเวียนถ่วงตนดังที่เป็นอยู่นี้  ส่วนความทุกข์นั้น ถ้ามีกรรมอยู่แล้ว ไม่ว่าสัตว์จำพวกใดต้องมีทุกข์ไปตามส่วนของกรรมดีชั่วที่มีมากน้อยในตัว สัตว์”

หลวงปู่มั่นถามว่า

“พระที่พูดกับเทวดารู้เรื่องกันมีอยู่แยะไหม?”

หัวหน้าเทวดาตอบว่า

“มีอยู่เหมือนกันท่าน แต่ไม่มากนัก … โดยมากก็เป็นพระซึ่งชอบปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขาเหมือนพระคุณเจ้านี่แล”

หลวงปู่มั่นถามว่า

“ส่วนฆราวาสเล่า…มีบ้างไหม?”

หัวหน้าเทวดาตอบว่า

“มี เหมือนกัน แต่มีน้อยมาก  และต้องเป็นผู้ใคร่ทางธรรมปฏิบัติ ใจผ่องใส ถึงรู้ได้  เพราะกายของพวกเทวดานั้นหยาบสำหรับพวกเทวดาด้วยกัน แต่ก็ละเอียดสำหรับมนุษย์จะรู้เห็นได้ทั่วไป  นอกจากผู้มีใจผ่องใสจึงจะรู้จะเห็นได้ไม่ยากนัก”

หลวงปู่มั่นถามว่า

“ที่ ท่านว่าพวกเทวดาไม่อยากมาอยู่ใกล้พวกมนุษย์เพราะเหม็นสาบคาวมนุษย์ นั้น…เหม็นสาบคาวอย่างไรบ้าง?  ขณะที่ท่านทั้งหลายมาเยี่ยมอาตมาไม่เหม็นคาวบ้างหรือ? … ทำไมถึงพากันมาหาอาตมาบ่อยนัก?”

หัวหน้าเทวดาตอบว่า

“มนุษย์ ที่มีศีลธรรมมิใช่มนุษย์ที่ควรรังเกียจ  ยิ่งเป็นที่หอมหวนชวนให้เคารพบูชาอย่างยิ่ง และอยากมาเยี่ยมเพื่อฟังเทศน์อยู่เสมอ ไม่เบื่อเลย  มนุษย์ที่เหม็นคาวน่ารังเกียจคือมนุษย์ที่เหม็นคาวศีลธรรม รังเกียจศีลธรรม ไม่สนใจในศีลธรรม  มนุษย์ประเภทเบื่อศีลธรรมซึ่งเป็นของดีเลิศในโลกทั้งสาม แต่ชอบในสิ่งที่น่ารังเกียจของท่านผู้ดีมีศีลธรรมทั้งหลาย มนุษย์ประเภทนี้น่ารังเกียจจึงไม่อยากเข้าใกล้และเหม็นคาวฟุ้งไปไกลด้วย

แต่เทวดามิได้ตั้งข้อรังเกียจชาวมนุษย์แต่อย่างใด … หากเป็นนิสัยของพวกเทวดามีความรู้สึกอย่างนั้นมาดั้งเดิมดังนี้”


ที่มา : “ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ” โดย “ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน”

แชร์