สาธุ!!!"แม่ชีศันสนีย์"ช่วยเยียวยา ..ให้พ้นทุกข์ทางใจ
มาอยู่ในโครงการโรงเรียนพ่อแม่ของเราก็ได้ มาสร้างวงกลมแห่งรักอย่างที่พวกเราช่วยให้พ่อแม่หลายคนกลับไปเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ของลูกได้เพราะเด็กในเจนเนอเรชั่นนี้ ต้องการพ่อแม่ที่เข้าใจเขาจริงๆ เปลี่ยนการสั่งเป็นการสอน http://winne.ws/n20999
รู้ทันใจ ก็ง่ายไปทุกอย่าง
คำถาม : เคยคิดว่าถ้าได้ทำงานในสายงานที่รัก ในบริษัทที่มั่นคง มีเจ้านายที่เราศรัทธา แล้วจะมีความสุขค่ะ แต่ 5 ปีที่ผ่านมา เ ดิฉันเครียดทุกวัน ต่างกันแค่เครียดมาก เครียดน้อย ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนร่วมงานแต่ละคนทำไม่ได้ กับแค่การทำตามหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จ เพื่อให้คนอื่นทำงานต่อได้ ดิฉันพูดอะไรก็ไม่ได้ เพราะอาวุโสน้อยที่สุดในแผนก ใครๆ ต่างฝากความหวังว่าเป็นน้องใหม่ที่คิดว่าต้องไฟแรง เจ้านายก็คาดหวังในงานของดิฉันมาก เรียกถามความคืบหน้าตลอด ดิฉันเครียดมากจริงๆ ค่ะ กลัวว่าวันหนึ่งจะไม่อยากไปทำงาน เพราะไม่อยากไปเจอหน้าเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย ทั้งๆ ที่รักงานของตัวเองมาก
แม่ชีให้กำลังใจไว้ว่า : ถ้ามีความเครียดจากการทำงานหน้าที่ของเราคือ “รู้ว่าเครียด” ไม่ใช่ “หนีความเครียด” ขอแค่ “รู้ตัว” เพราะความเครียดนั้นจะอยู่กับเราไม่นาน แล้วมันก็จะคลายคืนไป “เครียด” ก็สั้น ๆ “เบื่อ” ก็สั้น ๆ “โกรธ” ก็สั้น ๆ “หงุดหงิด” ก็สั้น ๆ ฯลฯ ทุกอย่างที่เราเห็นล้วนสั้น ๆ แล้วมัน จะเกิดศรัทธาต่อตัวเองว่า ทุกความรู้สึกเกิดขึ้นได้ แต่มันจะอยู่กับเราสั้นมาก
ว่ากันตามจริงทุกสิ่งทุกอาการที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะคนอื่น แต่เป็นเพราะตัวเราเองไม่แข็งแรงพอที่จะรู้ทันกาย - ทันใจ ไม่รู้ทันสภาวธรรมในขณะนั้น ซึ่งจริง ๆ อาจไม่ต้องตามดู ตามรู้ แค่ยามใดรู้สึกอึดอัดก็รู้ว่าอึดอัด เห็นความอึดอัดแค่มาแล้วไป ใจเป็นอิสระจากความอึดอัดนั้น ขอให้เห็นความเป็นอิสระกับการที่ได้เห็นแล้วเราไม่เป็นทุกข์เข้าไว้เรื่อย ๆ
อึดอัดได้ค่ะ ไม่ได้ห้าม แต่ให้เวลากับความอึดอัดน้อย ๆ“จ๊ะเอ๋” กับ “ความอึดอัด” แล้วก็รีบ“บ๊ายบาย” บอกลา “ความอึดอัด” เอาเวลามาทำงานของตัวเองอย่างนี้ก็ทำงานได้สบาย ๆ ไม่ตายทั้งเป็นแล้วล่ะค่ะ
เริ่มที่ “ห่าง” เพื่อ “เห็น” จบที่ “เป็นหนึ่งเดียวกัน”
คำถาม : ลูกสาวอายุเพียงแค่ 15 ปี แต่มีปัญหาเรื่องชู้สาวกับเพื่อนนักเรียนชายถึง 2 คน ดิฉันร้องไห้น้ำตาจะเป็นสายเลือด ไม่รู้ทำกรรมอะไรไว้ ลูกถึงได้เป็นอย่างนี้ พูดอะไรไม่เคยเชื่อฟัง ไม่เคยสนใจเรียน ไม่เคยเหมือนลูกชาวบ้านดิฉันเอาลูกไม่อยู่จริงๆ ค่ะ ไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร ดิฉันตัวคนเดียว พ่อของลูกเสียไปสิบกว่าปีแล้ว ญาติสนิทก็ไม่มีเลยอยากพาลูกสาวมาให้คุณแม่ชีช่วยอบรมจะได้ไหมคะ อยากให้มาอาศัยอยู่กับคุณแม่ชีสักระยะ ดิฉันยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของลูกเต็มที่ค่ะ
แม่ชีแนะนำว่า: ความรักต้องมีความเสียสละค่ะ ถ้าต้องจ้างคนอื่นมาเลี้ยงลูกก็เท่ากับเป็นการหนีสิ่งที่เรารักถ้ารักลูกก็ควรแก้ไขตัวเราเพื่อเข้าใจลูกให้มากถ้าลูกไม่เชื่อฟัง เถียง ไม่สนใจเรียนแม่ก็เปลี่ยนเป็นฟังเขา ยืนห่างจากเขา แต่เห็นเขาจริง ๆ ว่าเขาเป็นอย่างที่เขาเป็น เงินอาจจ้างคนมาดูแลกายลูกของเรา แต่เงินไม่สามารถจ้างใครมาดูแลใจลูกของเราได้หรอกค่ะ
อย่าเอาความคิดเห็นของเราไปตัดสินเขา แต่ให้เข้าใจว่าที่เขาเป็นอย่างนี้ เพราะเขาต้องการความช่วยเหลืออะไร ที่เขาเป็นอย่างนี้เพราะเขาต้องการบอกว่าเขาทุกข์อะไร ที่เขาเป็นอย่างนี้เขาต้องการให้เราใส่ใจเขาตรงไหน อย่างไรถ้าคุณสามารถประมวลภาพใหญ่ได้ว่าคุณนี่แหละเหมาะที่สุดที่จะเลี้ยงลูกของคุณแล้ว
มาอยู่ในโครงการโรงเรียนพ่อแม่ของเราก็ได้ มาสร้างวงกลมแห่งรักอย่างที่พวกเราช่วยให้พ่อแม่หลายคนกลับไปเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ของลูกได้เพราะเด็กในเจนเนอเรชั่นนี้ ต้องการพ่อแม่ที่เข้าใจเขาจริงๆ เปลี่ยนการสั่งเป็นการสอน เปลี่ยนการพูดเป็นการฟัง เปลี่ยนความต้องการของเราเป็นตัวตั้ง เป็นการห่างจากความต้องการของเรา และเห็นเขาอย่างที่เขาเป็น เราจะได้สนับสนุนเขาได้ตรงจุดที่เขาต้องการ แล้วลูกก็จะปลอดภัยเพราะกายก็ไม่ได้อยู่ไกล และใจก็เป็นหนึ่งเดียวกัน
ตายแล้ว ไปไหน
คำถาม : ลูกพี่ลูกน้องของดิฉันอายุ 38 ปี มีอาการผิดปกติทางร่างกาย จึงไปพบแพทย์แล้วพบว่าป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ขั้นที่ 3 ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองป่วย เขาก็หาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ยิ่งอ่านก็ยิ่งกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกพวกเราว่า เขาไม่น่าจะรอด เขาฝาก ให้ดิฉันและญาติๆ ดูแลแม่ของเขาด้วย ไม่ว่าพวกเราจะให้กำลังใจอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นเลย เขาแอบบอกดิฉันว่า สิ่งที่เขากลัวมากคือ “ตายแล้วไปไหน” ดิฉันไม่รู้จะอธิบายหรือ ปลอบเขาอย่างไรค่ะ
แม่ชีสอนว่า : บอกเขาว่า อย่าสงสัยอนาคตเลยค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ขอให้ลงทุนที่ปัจจุบัน ถ้าอยู่ในโลกนี้อย่างไม่ตายทั้งเป็น การอยู่เย็นก็จะส่งเราไปอยู่ในที่เย็นเสมอ กลับมาที่ปัจจุบันขณะ รู้จักหายใจให้เป็น อย่าหายใจอย่างตายทั้งเป็น ขณะหน้าเราจะอยู่เย็นเหมือนขณะนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราต้องลงทุน ขอให้มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมในปัจจุบันขณะอย่างสุจริตให้ต่อเนื่องอยู่ เนืองนิตย์ ความสุจริตจะส่งผลเป็นความสุจริตเสมอ ถ้าเราอยู่ร้อน นอนทุกข์ ตายอย่างร้อน ก็ไปอยู่ในที่ร้อน ถ้าอยู่เย็น เป็นสุข ตายอย่างเย็น ก็ไปอยู่ในที่เย็นอยู่และดูเป็นขณะ ๆ อย่างนี้ก็จะหมดสงสัยแล้วว่า “ตายแล้วไปไหน”
บอกให้เขาอยู่กับปัจจุบันด้วยลมหายใจเข้าที่อ่อนโยน เยือกเย็น แจ่มใส ผ่อนลมหายใจออก ไม่ฝืน เมื่อวาระนั้นมาถึง ชีวิตสั้นนิดเดียวค่ะ อย่าปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตที่สั้นอย่างประมาทขาดสติ เพราะนั่นหมายความว่าเราทำสิ่งที่สั้นอยู่แล้วให้สั้นมากขึ้น ลุกขึ้นมาจากการจมอยู่กับการหาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งที่ทำให้จิตดิ่งลง ๆ เถอะค่ะ หันมาใช้ชีวิตอย่างจบในแต่ละวันอย่างไม่ประมาท ไม่จม แล้วเขาจะเห็นว่า ความตายที่ใกล้เข้ามานั้นไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
“รักษาใจ”ส่วนการ “รักษากาย” ยกให้เป็นหน้าที่ของคุณหมอ ซึ่งต้องทำหน้าที่อย่างดีที่สุดอยู่แล้ว
ที่มา http://www.goodlifeupdate.com/73774/healthy-mind/dhamma-answer/