สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเสนอแผนการต่อสำนักบริหารและงบประมาณประจำทำเนียบขาว ( โอเอ็มบี ) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่าด้วยการให้ผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าเข้าสหรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของตัวเองย้อนหลังในรอบระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงชื่อบัญชีบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่อยู่อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ ตลอดจนประวัติการเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วงเวลาเดียวกัน หรือแม้แต่การเคยถูกผลักดันหรือเนรเทศออกจากประเทศใดหรือไม่

  ทั้งนี้ โอเอ็มบีมีเวลาพิจารณาแผนการดังกล่าวภายในระยะเวลา 60 วัน คือไม่เกินวันที่ 29 พ.ค. นี้ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการยื่นคำร้องขอวีซ่าเข้าสหรัฐทุกประเภทซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณปีละ 14.7 ล้านคน ในจำนวนนี้รวมถึงผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าประเภทขอเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัย ( Immigrant Visa ) ซึ่งอยู่ที่ 559,536 คน เมื่อปีงบประมาณที่ผ่านมา

  แผนการของรัฐบาลอชิงตันในเรื่องนี้ถือว่าเป็นไปตามความต้องการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการยกระดับความเข้มงวดด้านนโยบายความมั่นคงภายในประเทศ เพื่อป้องกันการแฝงตัวเข้าสู่สหรัฐของสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงให้ได้มากที่สุด โดยในความเป็นจริงรัฐบาลวอชิงตันเริ่มใช้มาตรการนี้แล้วกับบุคคลที่อยู่ในข่าย "เฝ้าระวังเป็นพิเศษ" อาทิ บุคคลซึ่งเคยเดินทางเยือนประเทศ "สุ่มเสี่ยง" เช่นอิรัก ซีเรีย และอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน ( เอซีแอลยู ) แสดงความวิตกกังวลในประเด็นที่ว่า จะเป็นการเปิดโอกาสทางอ้อมให้แก่ภาครัฐ ในการแทรกแซงการให้บริการของเจ้าของสื่อ และเป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของประชาชน ในการใช้งานบนเครือข่ายสังคมออนไลน์หรือไม่. 

ขอบคุณภาพและข่าวจาก dailynews