ศึกชิงภพ : ปฐมบท
สิ่งที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยสงสัยกันมาตลอด คือ ตายแล้วไปไหนแต่เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ตายเมื่อไร และทำไมต้องตายด้วย มนุษย์จึงกลัวตาย http://winne.ws/n23280
ส่วนหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือความสงสัยในเรื่องการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้เช่นกันและนี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถราชกุมารทรงสละราชสมบัติราชบัลลังก์ออกผนวช เสด็จไปแสวงหาศึกษาคำตอบจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง ว่าเป็นสุดยอดอาจารย์ด้านบำเพ็ญเพียรทางจิตแห่งชมพูทวีป นั่นคือ ท่านอาฬารดาบสและอุทกดาบส ทั้งนี้เพื่อทรงประสงค์จะขจัดความสงสัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของพระองค์และผู้อื่นให้หมดสิ้น
แต่เมื่อทรงศึกษาผ่านการฝึกฝนทฤษฎีและปฏิบัติจนสิ้นสุดความรู้จากอาจารย์ทั้งสองท่านแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ทรงพบคำตอบของปริศนาแห่งชีวิต และอาจารย์ทั้งสองของพระองค์ก็ยังถึงกับออกปากประกาศคุณวุฒิของพระองค์ท่ามกลางหมู่ศิษยานุศิษย์ว่า ความรู้ที่พรงองค์ได้เรียนรู้จากท่านนั้นเทียบเท่ากับตัวของท่านเอง พร้อมกับเอ่ยปากชักชวนให้พระองค์ทรงช่วยสั่งสอนหมู่ศิษย์ที่เหลือด้วยกันต่อไป แต่พระองค์ก็ทรงตอบปฏิเสธ และเสด็จออกแสวงหาทางไขปริศนาแห่งชีวิตต่อไป
และเมื่อหมดอาจารย์จะให้ศึกษาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าต่อไปได้แล้ว พระองค์ก็ทรงหันมาศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เอง เช่นทรงทรมานพระวรกายตามคตินิยมในสมัยนั้น เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบตนเองให้ลำบากอย่างสาหัส เพราะถือกันว่าใครทรมานได้ถึงขีดสุดแล้ว จะเป็นเหตุให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ พระองค์ทรงหันมาปฏิบัติหนทางนี้ เพราะความปรารถนาจะพ้นจากเหตุที่ทำให้เกิด แก่ เจ็บตาย อย่างแรงกล้าเป็นสิ่งสำคัญ
โดยพระองค์ทรงลงมือบำเพ็ญทุกรกิริยาที่แสนหนักหนาสาหันเกินกว่าร่างกายมนุษย์จะทนรับไหว และหนักขึ้นไปตามลำดับ คือ
ขั้นที่ 1 ทรงเอาฟัน(พระทนต์)บนกดฟันล่าง ขบกรามอย่างแน่นหนา ส่วนในช่องปาก พระองค์ก็เอาลิ้น (พระชิวหา) ดันเพดานปาก (พระตาลุ) ไว้ให้แน่จนเหงื่อ (พระเสโท)ไหลออกมาจากรักแร้ (พระกัจฉะ) กระทำอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง ได้รับทุกขเวทนาอย่างหนัก เหมือนกับใครมาบีบคอไว้แน่นอยู่หลายเดือนหลายปี กระทั่งทรงเห็นว่าการกระทำอย่างนี้ไม่ใช่ทางตรัสรู้จึงทรงเปลี่ยนวิธีอย่างอื่นต่อไป
ขั้นที่ 2 ทรงพยายามผ่อนกลั้นลมหายใจเข้าออก จนกระทั่งลมหายใจเดินทางผ่านช่องพระนาสิก (ช่องจมูก)และช่องพระโอษฐ์ (ช่องปาก) ไม่สะดวก ลมในพระวรกายจึงเกิดอาการหมุนเวียนไปออกที่ช่องพระกรรณ (ช่องหู) แทน บังเกิดเสียงดังอู้ทางช่องพระกรรณ์ทั้งสองข้าง ต้องทรงทนทรมานกับการปวดพระเศียร เสียดพระอุทร (เสียดท้อง) ร้อนผ่าวในพระวรกายอย่างรุนแรงอยู่หลายเดือนหลายปี ทรงทรมานพระองค์จนกระทั่งมั่นใจว่า วิธีนี้ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง จึงทรงเปลี่ยนวิธิปฏิบัติอื่นต่อไป
ขั้นที่ 3 ทรงอดอาหาร เสวยแต่วันละน้อย ลดปริมาณการเสวยอาหารน้อยลงไปเรื่อย ๆจนเหลือปริมาณอาหารวันละ 1เมล็ดข้าว พระวรกายที่เหี่ยวแห้ง ผิวพรรณเศร้าหมอง พระอัฐิ(กระดูก) ปรากฏทั่วพระวรกาย ครั้งเมื่อร่างกายขาดอาหารส่งผลให้รากขนเน่าเมื่อทรงลูบพระวรกาย เส้นพระโลมา(ขน) กูหลุดร่วง มีพระกำลังน้อย จะเสด็จไปข้างไหนก็ซวนเซล้ม ทรงทรมานพระองค์อย่างหนักนี้หลายเดือนหลายปี แต่ก็ยังไม่พบคำตอบว่า ทำไมต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เมื่อทรงประพฤติอัตตกิลมถานุโยคอย่างเหนือมนุษย์ขนาดนี้ก็ยังไม่พบคำตอบ พระองค์ก็ทรงเลิก กลับมาเสวยพระกระยาหารตามเดิม พร้อมกับยังทรงมุ่งมั่นจะหาวิธีอื่นต่อไป
จนกระทั่งคืนวันเพ็ญวิสาขบูชา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา พระองค์ทรงประทับนั่งที่ใต้ร่มศรีมหาโพธิ์เพื่อจะหาทางออกการเกิด แก่ เจ็บตายเหล่านี้ พระองค์ได้ทรงกระทำสัจจาธิษฐานว่า“แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดหายไปเหลือแต่เอ็นหนังกระดูกก็ตามที ถ้าหากไม่บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์จะไม่ลุกขึ้นจากที่ตรงนี้” แล้วก็ลงมือบำเพ็ญเพียรทางจิตอย่างสละชีวิตเลือดเนื้อเป็นเดิมพัน
ในที่สุด เมื่อปัจฉิมยามมาถึง พระองค์ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างลุ่มลึกไปตามลำดับ ขจัดรากเหง้าของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คืออวิชชาได้หมดสิ้น ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระองค์เองอย่างสมบูรณ์ และนับตั้งแต่นั้น โลกนี้จึงมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นใน ในวันพุธขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปีนั้นเอง
แล้วพระองค์ก็ทรงเผยแผ่คำสอนโปรดผู้ยังต้องตกอยู่ในวังวนของการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ให้หลุดพ้นไปได้มากมายมหาศาลและได้ก่อกำเนิดเป็น พระพุทธศาสนา คือศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ขึ้นมาในโลก
และแน่นอน สิ่งที่พระองค์ให้คำตอบเอาไว้ เกี่ยวกับเรื่องตายแล้วไปไหนและมนุษย์ควรมีวิธีเตรียมตัวเองให้หลุดพ้นจากความตายอย่างไร มีมากมายในพระไตรปิฎก ที่พระภิกษุสงฆ์ศึกษาสืบทอดกันมาหลายยุคสมัย
ขอบคุณบทความจาก หนังสือศึกชิงภพ