เพราะเหตุใดแม้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ไม่ยินดีใช้ทรัพย์ ต้องกินอยู่แบบอนาถา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปว่า เศรษฐีมีทรัพย์สินมากมาย ด้วยผลบุญที่ถวายบิณฑบาตกับพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ที่ไม่สามารถใช้สอยทรัพย์ได้ ก็เพราะเกิดความตระหนี่ในตอนหลัง ทำให้ไม่มีใจยินดีที่จะใช้จ่ายทรัพย์ด้วยผลกรรมแต่ปางหลังนั่นเอง” http://winne.ws/n23645

1.3 พัน ผู้เข้าชม
เพราะเหตุใดแม้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ไม่ยินดีใช้ทรัพย์ ต้องกินอยู่แบบอนาถา

ในสมัยพุทธกาล ที่เมืองสาวัตถีมีเศรษฐีชื่อ อาคันตุกะ มีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่อย่าว่าถึงการนำทรัพย์ออกสงเคราะห์แก่ผู้อื่นเลย แม้ตนเองก็ยังไม่ยอมกินยอมใช้สมบัติตน จะกินก็กินแต่ปลายข้าวกับน้ำผักดอง นุ่งห่มแต่ผ้าเนื้อหยาบแข็งกระด้าง แต่ท่านเศรษฐีกลับใส่แล้วมีความสุข รถม้าประดับรัตนชาติไม่เอา ขอเป็นรถไม้ธรรมดา เมื่อมีคนนำรถที่เป็นแก้วแกมทองคำอย่างสวยงามมาให้ ก็ให้นำกลับไป ใช้เพียงรถไม้ธรรมดาๆ  เมื่อเขากั้นฉัตรทองให้ ก็ไม่ยอมให้กั้น แต่กั้นฉัตรใบไม้แทน ทำอย่างนี้เพราะรู้สึกประหยัดดี 

บุญกุศลใดใดไม่เคยคิดสร้างหรือทำ ครั้นพอละโลกแล้วจึงนึกถึงกรรมกุศลไม่ได้เลยจึงไปบังเกิดใน "โรรุวมหานรก" แถมเศรษฐีก็ไม่มีบุตรสมบัติทั้งหมดจึงต้องตกเป็นของหลวง พระราชารับสั่งให้คนขนทรัพย์สมบัติของเศรษฐีเข้าไปในราชวัง ต้องใช้เวลาขนถึง 7 วันทีเดียว

พระราชากราบทูลถามพระพุทธองค์เกี่ยวกับเศรษฐีว่ามีทรัพย์มากขนาดนั้น ก็ไม่ยอมใช้ทรัพย์เลย ทั้งๆ ที่ตนเองก็เป็นเจ้าของอยู่แท้ๆ

เพราะเหตุใดแม้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ไม่ยินดีใช้ทรัพย์ ต้องกินอยู่แบบอนาถา

เมื่อพระราชาได้โอกาสเสด็จไปเข้าเฝ้าพระศาสดา จึงทูลถามพระพุทธองค์ว่า “เป็นเรื่องที่แปลกจริงพระเจ้าข้า แม้เศรษฐีมีทรัพย์มากขนาดนั้น ก็ไม่ยอมใช้ทรัพย์เลย ทั้งๆ ที่ตนเองก็เป็นเจ้าของอยู่แท้ๆ ผู้ที่ไม่มีบุญอย่างนี้ เมื่อก่อนเขาได้สร้างเหตุอะไรไว้พระเจ้าข้า จึงทำให้เป็นผู้มั่งคั่ง และเพราะเหตุอะไร มีทรัพย์แล้ว ตัวเองไม่ยอมใช้ทรัพย์เลย” พระบรมศาสดาสดับดังนั้นแล้วจึงนำเรื่องราวแต่ปางหลังมาตรัสเล่าว่า

ในอดีตกาล มีเศรษฐีชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง เป็นผู้ไม่มีศรัทธา มีแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เคยทำบุญให้ทานเลย วันหนึ่ง เขาเดินทางเข้าไปในวัง เพื่อเข้าเฝ้าพระราชา ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ชื่อว่า ตครสิขี กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ จึงเกิดจิตอ่อนโยนเลื่อมใสในอิริยาบถ ได้เดินเข้าไปถามว่า “พระคุณเจ้า ได้ภัตตาหารแล้วหรือยัง” เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสว่า “ยังไม่ได้รับบาตรเลย” เศรษฐีจึงบอกผู้ติดตามว่า “จงพาพระคุณเจ้าไปที่บ้านเรา นิมนต์ท่านให้นั่งที่แท่นเราแล้วก็ให้ถวายภัตรที่เขาตระเตรียมเอาไว้ให้เราแก่พระคุณเจ้าด้วย” บ่าวผู้ติดตามก็ได้พาพระปัจเจกพุทธเจ้าไปที่บ้าน ภรรยาของเศรษฐีได้จัดแจงอาหารที่ประณีต มีรสเลิศต่างๆ น้อมถวายท่านด้วยความเคารพ บรรจุจนเต็มบาตร หลังจากพระปัจเจกพุทธเจ้ารับบาตรแล้วก็อนุโมทนา จากนั้นได้เดินออกจากเรือนของท่านเศรษฐีบ่ายหน้ากลับไปที่พัก

ในระหว่างทางที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเดินกลับ ได้เดินสวนทางกับท่านเศรษฐี  เมื่อเศรษฐีมองเห็นก็เดินเข้ามาไหว้ พร้อมกับเอ่ยปากถามว่า “พระคุณเจ้าได้รับภัตตาหารแล้วหรือยัง” ตครสิขีปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ ตอบว่า “อุบาสก อุบาสิกาที่บ้านของท่านได้จัดแจงภัตตาหารถวายแล้ว” 

เศรษฐีได้ฟังดังนั้นจึงดูบาตรของท่าน เมื่อเห็นอาหารที่ประณีต และมีรสเลิศมากมายเช่นนั้น แทนที่จะปลื้มปีติกลับเกิดความรู้สึกเสียดาย ไม่อาจทำใจให้เลื่อมใสได้ กลับคิดว่า น่าเสียดายอาหารเหล่านี้ ถ้าเราให้ทาสและกรรมกรทานยังจะได้ใช้แรงงาน นับว่าเราทำผิดพลาดแล้ววันนี้

 โดยปกติ การที่จะประสบบุญมากจะต้องมีเจตนาในกาลทั้งสาม คือ ก่อนให้ก็ดีใจ ขณะให้ก็เลื่อมใส และหลังจากให้แล้วก็ปีติเบิกบานในบุญ หากเป็นอย่างนี้จะเป็นผู้ที่ได้บุญเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ แต่เศรษฐีไม่ได้เป็นอย่างนั้น กลับทำใจไม่ได้เพราะเกิดความเสียดายในภายหลัง

 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปว่า “มหาบพิตร ที่อาคันตุกะเศรษฐีมีทรัพย์สินมากมาย ด้วยผลบุญที่ถวายบิณฑบาตกับพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ที่ไม่สามารถใช้สอยทรัพย์ได้ ก็เพราะเกิดความตระหนี่ในตอนหลัง ไม่สามารถรักษาใจให้ผ่องใสในกาลสุดท้ายได้ ทำให้ไม่มีใจยินดีที่จะใช้จ่ายทรัพย์ด้วยผลกรรมแต่ปางหลังนั่นเอง”

เศรษฐีแม้ร่ำรวยแต่ยินดีในการใช้ของเก่า ๆ กินของทีไม่ปราณีต

เพราะเหตุใดแม้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ไม่ยินดีใช้ทรัพย์ ต้องกินอยู่แบบอนาถา

รู้อย่างนี้แล้ว เราจึงควรกระทำตามคำสอนขององค์พระบรมศาสดา ด้วยการทำใจให้แจ่มใสแช่มชื่น ปลาบปลื้มในบุญกุศลของเรา ทั้งก่อนจะทำก็จัดเตรียมเครื่องไทยธรรมให้ประณีตเต็มกำลังที่เรามีด้วยความเบิกบาน ระหว่างทำก็ประคองกาย วาจา ใจไว้ด้วยความสงบสะอาด และเมื่อทำไปแล้วหมั่นคอยนึกถึงบุญกุศลที่เคยทำไว้อย่างสม่ำเสมอว่าเราได้ทำอย่างเต็มที่เต็มกำลังด้วยความสุขใจ เพราะบุญนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนึกถึงด้วยความปลื้มเท่าใด ก็ส่งผลทับทวีขึ้นทุกครั้งไม่มีลดน้อยลงเลย ยิ่งแบ่งปันออกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งได้กลับมามากมายทุกครั้ง เมื่อบุญส่งผลเราก็จะได้ใช้สมบัติอย่างเต็มที่เช่นกัน

ที่มา LINE @ : https://line.me/R/ti/p/%40jjx9044s และคลิกที่ Home 


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก

เพจ lifEandSoul

แชร์