ชาวอินเดียในยุคพุทธกาลที่เกิดอาการ"มึนข้อมูล" แบบเดียวกับบ้านเราตอนนี้
ยุคนั้นมึนข้อมูลทางด้านเจ้าสำนักเจ้าลัทธิที่มีมากถึง ๖๒ ลัทธิ สอนกันประเภทมั่วไปหมด ประเภทว่า " กูถูกมึงผิด " แบบว่าต่างคนต่างสอนกัน จนชาวบ้านในฐานะที่เป็นคนรับข้อมูลข่าวสารเกิดอาการมึนตึ๊บ จึงต้องไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า http://winne.ws/n24152
ชาวอินเดียในยุคพุทธกาลที่เกิดอาการ
"มึนข้อมูล"
ข้อธรรมะจากเฟซบุ๊กของพระท่านที่ใช้ชื่อว่า นาควีโร ภิกขุ ศิริ ที่ท่านนำเหตุการณ์ในอดีตมาเทียบเคียงกับยุคปัจจุบันเพื่อให้เราท่านได้รู้เท่าทันข่าวลือ
แบบเดียวกับบ้านเราตอนนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ยุคนั้นมึนข้อมูลทางด้านเจ้าสำนักเจ้าลัทธิที่มีมากถึง ๖๒ ลัทธิ สอนกันประเภทมั่วไปหมด ประเภทว่า " กูถูกมึงผิด " แบบว่าต่างคนต่างสอนกัน จนชาวบ้านในฐานะที่เป็นคนรับข้อมูลข่าวสารเกิดอาการมึนตึ๊บ
จึงต้องไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าว่า..จะเอาอย่างไรดี ที่สุดก็ทรงแสดงกาลามสูตร ๑๐ ประการเพื่อใช้เป็นกรอบในการเชื่อว่าจะเชื่ออย่างไรไม่เชื่ออย่างไร
สรุป #กาลามสูตร ๑๐
ทรงสอนให้พิจารณาให้ดีก่อนว่า...
สิ่งใดเป็นกุศล
ไม่เป็นอกุศล
มีประโยชน์
ไม่เป็นโทษ
เป็นไปเพื่อประโยชน์
เกื้อกูล
เพื่อความสุข...
" จึงค่อยเชื่อ.."
#บทความนี้ละเอียดที่สุดเท่าที่มีเผยแพร่เรื่อง
"#กาลามสูตร"
กาลามสูตร 10
http://www.chatchawan.net/2014/02/kalama-sutta/
สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ
พระพุทธเจ้าแทนที่จะตรัสเหมือนกับสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่เคยพูดมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงสรรเสริญคำสอนของพระองค์ และก็ไม่ทรงติเตียนคำสอนศาสนาของผู้อื่นแต่พระองค์กลับตรัสอีกแบบหนึ่ง การพูดแบบนี้เป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน คือพระองค์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง
มา อนุสฺสวเนน : อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
มา ปรมฺปราย : อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
มา อิติกิราย : อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
มา ปิฏกสมฺปทาเนน : อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
มา ตกฺกเหตุ : อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
มา นยเหตุ : อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
มา อาการปริวิตกฺเกน : อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา : อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
มา ภพฺพรูปตา : อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
มา สมโณ โน ครูติ : อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา
สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้
ข้อความประเภทนี้ตรงกับกฎทางวิทยาศาสตร์ เพราะนักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อถ้าเขายังไม่ได้ ทดสอบหรือพิจารณาเหตุผลให้ปรากฏก่อน และข้อความเช่นนี้ไปตรงกันได้อย่างไรในข้อที่ไม่ให้เชื่อเพราะเหตุ เหล่านี้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะเชื่อแบบใดเมื่อปฏิเสธไปหมดเลยทั้ง 10 ข้อ และเราควรจะเชื่ออะไรได้บ้าง
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของเหตุและผลไม่โจมตีศาสนาไม่โจมตีผู้ใด ชี้แต่เหตุและผลที่ยกขึ้นมา อธิบายเท่านั้น พระพุทธวจนะทั้ง 10 ประการข้างต้นนั้น ท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจคิดว่า ถ้าใครถือตามแบบ นี้ทั้งหมดก็มองดูว่าน่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ คือ ไม่เชื่ออะไรเลย แม้แต่ครูของตนเอง แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไม่ให้เชื่อ พิจารณาดูแล้ว น่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ แต่ก็ไม่ใช่
คำว่า “มา” อันเป็นคำบาลีในพระสูตรนี้ เป็นการปฏิเสธมีความหมายเท่ากับ No หรือ นะ คือ อย่า แต่โบราณาจารย์กล่าวว่า ถ้าแปลว่า อย่าเชื่อ เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งไปควรแปลว่า“อย่าเพิ่งเชื่อ”คือให้ ฟังไว้ก่อน สำนวนนี้ ได้แก่สำนวนแปลของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส นักปราชญ์ รูปหนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ แต่บางอาจารย์ให้แปลว่า“อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ” แต่บางท่านแปลตามศัพท์ว่า “อย่าเชื่อ” ดังนั้น การแปลในปัจจุบันนี้จึงมีอยู่ 3 แบบคือ
อย่าเชื่อ
อย่าเพิ่งเชื่อ
อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ
ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก
นาควีโร ภิกขุ ศิริ